head prakardsod






























































แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - waanbotan_

หน้า: [1] 2 3 4
1
ในฐานะพ่อแม่ สิ่งสำคัญที่สุดคือการดูแลสุขภาพของลูกรัก แต่ด้วยความที่เด็กมีภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง และความซุกซนตามวัย ทำให้มีโอกาสเจ็บป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่ การมี ประกันสุขภาพเด็ก จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยให้พ่อแม่รับมือกับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลได้อย่างมั่นใจ และหนึ่งในทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุดคือ ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย

ทำไมประกันสุขภาพเด็กจึงสำคัญ?
ประกันสุขภาพเด็ก คือหลักประกันที่คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลเมื่อลูกน้อยเจ็บป่วยหรือประสบอุบัติเหตุ สิ่งที่พ่อแม่ควรรู้คือ เบี้ยประกันเด็กมีแนวโน้มสูงกว่าของวัยอื่น ๆ โดยเฉพาะเด็กเล็ก เนื่องจากความเสี่ยงในการเจ็บป่วยและบาดเจ็บที่สูงกว่านั่นเอง

การ ทำประกันให้ลูก ไม่เพียงช่วยลดภาระทางการเงินเมื่อลูกต้องเข้าโรงพยาบาล แต่ยังช่วยให้พ่อแม่ตัดสินใจพาไปพบแพทย์ได้อย่างรวดเร็ว หากสังเกตเห็นอาการผิดปกติเพียงเล็กน้อย เช่น ลูกงอแงผิดปกติ หรือเซื่องซึมไปจากเดิม เพราะเด็กอาจยังไม่สามารถสื่อสารความเจ็บป่วยได้ชัดเจน การรักษาที่ทันท่วงทีช่วยลดความรุนแรงของโรคและเพิ่มโอกาสในการหายเร็วขึ้น

ข้อดีของการซื้อประกันสุขภาพให้ลูก: ลงทุนเพื่อสุขภาพที่ดีของลูก
การตัดสินใจ ซื้อประกันสุขภาพให้ลูก ตั้งแต่เนิ่น ๆ มีประโยชน์หลายประการ:
ลดภาระค่าใช้จ่าย: เด็กมีโอกาสป่วยบ่อยและใช้เวลาในการรักษานานกว่าผู้ใหญ่ ประกันสุขภาพจึงเข้ามาช่วยลดค่าใช้จ่ายจำนวนมากในส่วนนี้ ทำให้พ่อแม่ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่อาจบานปลาย
การรักษาที่มีคุณภาพและรวดเร็ว: เมื่อมีประกัน ลูกจะได้รับการดูแลรักษาอย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ ลดความรุนแรงของโรค ทำให้เด็กหายป่วยได้เร็วขึ้น และช่วยให้พ่อแม่คลายความกังวล
ความคุ้มครองที่ครอบคลุม: การ ซื้อประกันสุขภาพให้ลูกตั้งแต่ลูกยังไม่มีปัญหาสุขภาพ จะทำให้ได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมและสมบูรณ์มากกว่าการซื้อประกันหลังจากที่ลูกเคยป่วยหรือมีโรคประจำตัวแล้ว

เลือกประกันสุขภาพให้คุ้มค่า: ทำไมต้องแบบเหมาจ่าย?
เพื่อให้การ ทำประกันให้ลูก เกิดความคุ้มค่าสูงสุด พ่อแม่ควรพิจารณา ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย นี่คือเหตุผล:
ครอบคลุมค่าใช้จ่ายมากกว่า: ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายจะคิดค่าใช้จ่ายแบบเหมารวมตามวงเงินความคุ้มครอง โดยไม่แยกรายการเหมือนประกันแบบแยกจ่าย ทำให้พ่อแม่ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าค่าใช้จ่ายรายการใดจะไม่เพียงพอ หรือต้องจ่ายส่วนเกินแยกตามรายการย่อย ๆ
อุ่นใจไร้กังวล: ประกันแบบเหมาจ่ายจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมด คุณจะจ่ายส่วนเกินก็ต่อเมื่อยอดรวมทั้งหมดเกินวงเงินที่กำหนดไว้เท่านั้น ซึ่งช่วยให้บริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้ง่ายกว่าและลดความกังวลใจในเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนเกิน

ตัวอย่างประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายที่น่าสนใจ:
กรุงไทย สุขภาพสุขใจ เป็นประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายจากธนาคารกรุงไทย ที่ออกแบบมาเพื่อครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับพ่อแม่ที่ต้องการ ทำประกันให้ลูก ก่อนที่ลูกจะมีปัญหาสุขภาพ เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุมมากที่สุด
คุ้มครองตั้งแต่เด็กเล็ก: รับประกันตั้งแต่อายุ 6 เดือน
แบ่งตามช่วงวัย: มีแผนสำหรับเด็กเล็ก อายุ 6 เดือน – 6 ปี และเด็กโต อายุ 7 – 15 ปี
เลือกแผนได้หลากหลาย: แต่ละช่วงวัยมี 4 แผนความคุ้มครอง ให้พ่อแม่เลือกให้เหมาะสมกับงบประมาณและความต้องการ
คุ้มครองครบวงจร: ทั้งการรักษาพยาบาลแบบผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD) ครอบคลุมทั้งความเจ็บป่วยจากโรคภัยและการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ และที่สำคัญคือ ครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง

ประกันเพื่อสุขภาพ กรุงไทย สุขภาพสุขใจ เป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้พ่อแม่คลายความกังวลเมื่อลูกไม่สบาย ลูกจะได้รับการรักษาพยาบาลที่รวดเร็วและมีคุณภาพ นำไปสู่การฟื้นตัวที่เร็วขึ้น อย่ารอช้า เลือกทำประกันสุขภาพชนิดเหมาจ่าย ทำประกันอุบัติเหตุให้ลูก เพื่อสุขภาพที่ดีของลูกไปนาน ๆ ได้ที่ธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ



2
ในยุคที่ทุกอย่างคลิกเดียวจบ หลายคนอาจคาดหวังว่า “โอนเงินไปต่างประเทศผ่านแอป” ก็น่าจะเร็วเหมือนโอนในประเทศ แต่ความจริงแล้ว ระบบเบื้องหลังซับซ้อนกว่าที่คิด เพราะยังคงพึ่งพาระบบการเงินโลกที่ชื่อว่า SWIFT

SWIFT ไม่ใช่ระบบโอนแบบทันใจ แต่เป็นโครงข่ายปลอดภัยของโลก
ระบบ SWIFT คือมาตรฐานกลางที่ธนาคารทั่วโลกใช้สื่อสารข้อมูลการเงินกันอย่างปลอดภัย ทุกธนาคารมีรหัสเฉพาะ (SWIFT Code) เช่น ธนาคารกรุงไทยใช้ KRTHTHBK
 การกรอกข้อมูลผู้รับเงินต้องแม่นยำ ทั้งชื่อ ที่อยู่ และ Swift Code เพราะข้อมูลที่ผิดแม้เพียงเล็กน้อย อาจทำให้ธุรกรรมล่าช้าหรือไม่สำเร็จเลยก็ได้
แล้วโอนผ่านแอปได้ไหม? ได้ แต่ไม่ถึง “ทันที”
แม้เราจะกดการโอนเงินแบบ swift code ผ่านแอปเสร็จในไม่กี่นาที แต่กว่าที่เงินจะถึงปลายทางต้องผ่านระบบหลายขั้นตอน ทั้งธนาคารตัวกลาง การตรวจสอบธุรกรรม และข้อจำกัดเรื่อง Time Zone
โดยทั่วไปแล้วใช้เวลาราว 3 – 5 วันทำการ และอาจช้ากว่านี้ในบางกรณี
ค่าใช้จ่ายที่ควรรู้ก่อนโอน
โอนผ่าน SWIFT มีคค่าธรรมเนียมการโอนเงินต่างประเทศ ราว 300–500 บาท + ค่าบริการตามยอดเงิน


ธนาคารอาจเก็บค่าธรรมเนียมการโอนเงินต่างประเทศต่างกันตามช่องทาง (เช่น แอป หรือเคาน์เตอร์)


บางสกุลเงิน เช่น ยูโร หรือดอลลาร์สหรัฐฯ มีค่าธรรมเนียมสูงกว่าสกุลเงินเอเชีย


โอนเงินผ่านแอป “ถูกกว่า” โอนผ่านสาขา



การโอนเงินต่างประเทศ ศผ่านแอปเป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย แต่ไม่ได้หมายความว่าเงินจะถึงปลายทางในทันที เพราะยังต้องผ่านระบบ SWIFT และกระบวนการตรวจสอบมากมาย หากต้องการความเร็วจริง อาจต้องพิจารณาทางเลือกอื่น เช่น Western Union หรือบริการโอนแบบเร่งด่วนจากบางธนาคาร
โอนเงินไปต่างประเทศระบบ swift code ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องเข้าใจระบบให้ดีเสียก่อน เพื่อวางแผนได้ถูกและไม่เสียเวลาโดยไม่จำเป็น



3
การลงทุนใน กองทุนรวม เป็นประตูสู่โลกการลงทุนที่เปิดกว้างสำหรับทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนมือใหม่ที่อยากเริ่มต้น หรือมือเก๋าที่ต้องการกระจายความเสี่ยง การเลือกกองทุนที่เหมาะสมเป็นหัวใจสำคัญ วันนี้เราจะพาคุณไปสำรวจ 10 กองทุนรวมน่าสนใจ กองทุนน่าสนใจ 2566 จาก บลจ.กรุงไทย (KTAM) พร้อมแนวคิดในการเลือกกองทุนให้ตอบโจทย์สไตล์การลงทุนของคุณ

ประเภทของกองทุนรวม: เลือกให้ตรงใจ
กองทุนรวมแต่ละประเภทมีนโยบายการลงทุนที่แตกต่างกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุนที่มีเป้าหมายและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ไม่เท่ากัน
แนะนำกองทุนสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงสูง (High Risk, High Return):

KT-OIL: ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ ซึ่งมีความผันผวนสูงตามราคาน้ำมันโลก เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เข้าใจและรับความเสี่ยงได้สูง
KT-ENERGY: เน้นลงทุนในบริษัทพลังงานระดับโลก เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่เชื่อมั่นในศักยภาพของภาคพลังงาน
KT-MAI: ลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาด MAI ซึ่งมักเป็นหุ้นขนาดเล็กที่มีศักยภาพการเติบโตสูง แต่ก็มีความผันผวนสูงเช่นกัน
KT-BRAIN-A (ชนิดสะสมมูลค่า): ลงทุนในหุ้นตลาด MAI โดยใช้ AI ช่วยในการคัดเลือกหุ้น เน้นการเติบโตของเงินลงทุน
KTMSEQ (กรุงไทยหุ้น Mid-Small Cap): ลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีพื้นฐานดี ทั้งในตลาดหุ้นไทยและ MAI มีโอกาสเติบโตสูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่แต่ก็มีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
KT-SET50-A (ชนิดสะสมมูลค่า): ลงทุนในหุ้น 50 ตัวแรกของตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET50) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีพื้นฐานดีและมีความมั่นคงในระยะยาว
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการรายได้ (Dividend & Income Focus):


KT-HiDiv (กรุงไทยหุ้นไฮดิวิเดนด์): กองทุนนี้โดดเด่นด้วยนโยบายจ่ายปันผลสูงสุดถึง 12 ครั้งต่อปี โดยลงทุนในหุ้นไทยที่มีผลการดำเนินงานดีและมีประวัติการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการกระแสเงินสดจากเงินปันผล
สำหรับผู้ที่เน้นความมั่นคง (Low Risk, Stable Return):


KTSS (กรุงไทยตราสารตลาดเงิน): มุ่งเน้นการลงทุนในตราสารตลาดเงินที่มีความเสี่ยงต่ำ ให้ผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสภาพคล่องหรือพักเงินระยะสั้น
KTPLUS (กรุงไทย ธนทรัพย์ พลัส): ลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารหนี้คุณภาพดี เน้นการเก็บเกี่ยวดอกผลจากเงินลงทุน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคงและผลตอบแทนที่คาดการณ์ได้
สำหรับผู้ที่วางแผนเกษียณ (Long-Term Retirement Planning):


KT-BRAIN RMF (กรุงไทย เอไอ เบรน เพื่อการเลี้ยงชีพ): เป็นกองทุน RMF ที่เน้นลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี โดยใช้ AI ช่วยคัดเลือกหุ้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนระยะยาวเพื่อการเกษียณและได้รับสิทธิลดหย่อนภาษี
ลงทุนง่าย ๆ แค่ปลายนิ้ว

บลจ.กรุงไทยอำนวยความสะดวกให้นักลงทุนสามารถ ซื้อssf ลดหย่อนภาษี หน่วยลงทุนได้ด้วยตัวเองผ่านแอป Krungthai Next และยังสามารถขายหน่วยลงทุนได้โดยผูกบัญชีซื้อขายไว้กับธนาคารกรุงไทย ทำให้การทำธุรกรรมเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว นอกจากวิธีออมเงินแบบมนุษย์เงินเดือนนี้ คุณยังสามารถติดตามผลการดำเนินงานของกองทุนได้ตลอดเวลา



4
หลายคนทราบดีว่า ประกันชีวิต คือเครื่องมือบริหารความเสี่ยงทางการเงินที่สำคัญ แต่รู้หรือไม่ว่ามันยังมีประโยชน์ในเรื่อง ภาษี ด้วย! วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจว่า ประกันชีวิตลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่ และมีเทคนิคอะไรบ้างที่จะช่วยให้คุณซื้อประกันได้อย่างคุ้มค่า พร้อมรับสิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุด

ประกันชีวิตแต่ละแบบ ลดหย่อนภาษีได้เท่าไหร่?
โดยทั่วไปประกันชีวิตจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ซึ่งมีสิทธิลดหย่อนภาษีต่างกันไป

ประกันชีวิตทั่วไป
กลุ่มนี้ได้แก่: ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ, ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา, ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ และประกันชีวิตแบบควบการลงทุน (Unit-linked)
สิทธิลดหย่อน: สำหรับประกันชีวิต 3 แบบแรก (ตลอดชีพ, ชั่วระยะเวลา, สะสมทรัพย์) คุณสามารถ ลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท โดยมีเงื่อนไขว่ากรมธรรม์ต้องมีระยะเวลาคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป
กรณีมีประกันชีวิตของคู่สมรส (ที่ไม่มีรายได้): สามารถนำเบี้ยประกันมาลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท
ประกันชีวิตแบบควบการลงทุน (Unit-linked): เฉพาะส่วนค่าธรรมเนียมและความคุ้มครอง ที่นำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท (กรมธรรม์ต้องคุ้มครอง 10 ปีขึ้นไป) ส่วนที่นำไปลงทุนจะไม่สามารถลดหย่อนภาษีได้

ประกันชีวิตบำนาญ

จุดเด่น: ประกันประเภทนี้ออกแบบมาเพื่อสร้างรายได้หลังเกษียณ โดยคุณจะจ่ายเบี้ยประกันไปจนถึงอายุที่กำหนด จากนั้นบริษัทประกันจะจ่ายเงินบำนาญให้เมื่อคุณเกษียณ
สิทธิลดหย่อน: สามารถ ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท ที่สำคัญคือ สิทธิลดหย่อนสำหรับประกันชีวิตบำนาญนี้ เมื่อรวมกับสิทธิลดหย่อนเพื่อการเกษียณอื่น ๆ เช่น กองทุน RMF, SSF ต้องไม่เกิน 500,000 บาท

เทคนิคเลือกซื้อประกันวิธีลดหย่อนภาษีสูงสุด
เพื่อให้คุณได้รับประโยชน์ลดหย่อนภาษีด้วยประกันชีวิต ลองใช้ 3 เทคนิคนี้
คำนวณภาษีที่ต้องจ่าย: ก่อนอื่น คุณต้องรู้ว่าปกติคุณต้องจ่ายภาษีเท่าไหร่ โดยใช้สูตร “เงินได้ - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ” จากนั้นนำ “เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี = เงินภาษีที่ต้องจ่าย” หากมีรายได้หลายทาง ควรนำรายได้ทั้งหมดที่ไม่ใช่เงินเดือนมาคูณ 0.5% เพื่อประเมินภาษีที่ต้องจ่าย

ทำเช็กลิสต์สิทธิลดหย่อนภาษีทั้งหมดที่คุณมี: รวบรวมข้อมูลสิทธิลดหย่อนภาษีทั้งหมดที่คุณมี ไม่ว่าจะเป็นจากประกันชีวิต กองทุน RMF, SSF หรืออื่น ๆ เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมและวางแผนการใช้สิทธิได้อย่างครบถ้วน

เลือกซื้อประกันที่ตอบโจทย์ความต้องการ: การลดหย่อนภาษีเป็นเพียงผลพลอยได้ที่สำคัญ แต่หลักการสำคัญที่สุดคือการเลือกประกันที่ตรงกับความต้องการและเป้าหมายทางการเงินของคุณ เช่น หากคุณต้องการวางแผนชีวิตหลังเกษียณ ควรเน้นประกันแบบบำนาญ หรือหากต้องการออมเงินไปพร้อม ๆ กับการได้รับความคุ้มครอง ประกันสะสมทรัพย์ก็เป็นทางเลือกที่ดี

การทำประกันชีวิต ประกันสุขภาพแบบไหนดีไม่เพียงแค่ช่วยบริหารความเสี่ยงในชีวิต แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผนภาษีได้อย่างชาญฉลาด หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ประกันชีวิตยื่นลดหย่อนภาษีในการตัดสินใจเลือกซื้อประกันที่เหมาะสม



5
แม้ลูกจะยังเล็ก แต่พ่อแม่หลายคนเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการเตรียมความพร้อมเรื่องสุขภาพตั้งแต่เนิ่น ๆ หนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความสนใจคือการทำประกันสุขภาพ ทำประกันอุบัติเหตุให้ลูก ซึ่งแม้จะมีเบี้ยประกันสูงกว่าผู้ใหญ่ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมานั้นคุ้มค่าอย่างยิ่ง

เด็กเป็นวัยที่ป่วยง่ายและเกิดอุบัติเหตุได้บ่อย การทำประกันสุขภาพจึงเป็นเหมือนเกราะป้องกันด้านการเงินให้พ่อแม่ไม่ต้องแบกรับค่ารักษาพยาบาลก้อนใหญ่เพียงลำพัง นอกจากนี้ยังช่วยให้ลูกเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพได้อย่างรวดเร็ว ลดความรุนแรงของโรค และช่วยให้หายป่วยได้ไวขึ้น

หากต้องการความคุ้มครองที่ครอบคลุม ควรเลือกประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย ซึ่งดีกว่าแบบแยกจ่ายตรงที่รวมค่าใช้จ่ายไว้ในวงเงินเดียว ไม่ต้องแบ่งจ่ายแยกรายการ และลดความยุ่งยากในการเคลมประกัน ยิ่งเลือกทำตอนที่ลูกยังไม่มีประวัติเจ็บป่วยมาก่อน ก็ยิ่งได้ความคุ้มครองที่ครอบคลุมกว่า

ตัวอย่าง ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย เช่น “กรุงไทย สุขภาพสุขใจ” ที่เปิดให้พ่อแม่ทำประกันให้ลูกได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนถึง 15 ปี พร้อมมีแผนความคุ้มครอง 4 แบบให้เลือกในแต่ละช่วงวัย ครอบคลุมทั้งกรณีเจ็บป่วยทั่วไปและอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะต้องนอนโรงพยาบาลหรือแค่ไปพบแพทย์แบบผู้ป่วยนอก

หากคุณกำลังมองหาวิธีวางแผนดูแลลูกอย่างยั่งยืน ทำประกันสุขภาพคือทางเลือกที่ตอบโจทย์ในทั้งด้านการเงินและความอุ่นใจในอนาคต



6
หลายคนอาจมองว่าการมีบัตรเครดิตหลายใบคือความสะดวก แต่ความสะดวกนี้อาจกลายเป็นดาบสองคม หากเราไม่สามารถควบคุมการใช้จ่ายและการชำระหนี้ได้ ปัญหาหนี้บัตรเครดิตอาจบานปลายถึงขั้นถูกฟ้องร้องหรือกลายเป็นหนี้เสียได้ วันนี้เรามีแนวทางและเคล็ดลับสำหรับคนที่อยากเริ่มต้นเคลียร์หนี้อย่างจริงจัง

ทำไมหนี้บัตรเครดิตถึงลุกลาม?
บัตรเครดิตให้อิสระในการใช้จ่ายเกินรายได้ในระยะสั้น แต่หากชำระคืนไม่เต็มจำนวนในแต่ละรอบบิล ดอกเบี้ยจะทบยอดจนกลายเป็นภาระที่หนักขึ้น ยิ่งมีหลายใบก็ยิ่งเสี่ยง และนี่คือวิธีรับมือ

1. หยุดพฤติกรรมเดิม
อย่าปล่อยให้ตัวเองรูดซื้อของต่อแม้จะยังมีวงเงินเหลือ จำไว้ว่าวงเงินนั้นไม่ใช่รายได้ แต่คือ "หนี้ในอนาคต" หยุดการใช้ทันทีเพื่อไม่ให้ยอดหนี้บานปลาย

2. วางแผนการชำระอย่างมีระบบ
จัดลำดับบัตรตามอัตราดอกเบี้ย
เริ่มจ่ายจากใบที่ดอกเบี้ยสูงที่สุด
จ่ายขั้นต่ำของใบอื่นไปก่อนเพื่อรักษาเครดิต
ค่อยๆ เพิ่มยอดจ่ายเมื่อมีเงินเพิ่มขึ้น


3. หาทางปลดหนี้ด้วย “เงินก้อน”
การหาวิธีรวมหนี้เป็นเงินก้อนเดียวช่วยลดภาระและควบคุมดอกเบี้ยได้ดีขึ้น เช่น การขอสินเชื่อจากธนาคารกรุงไทยผ่านผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น
สินเชื่อกรุงไทยใจป้ำ
สินเชื่อกรุงไทย Smart Money
สินเชื่อกรุงไทยเปย์เดะ
สินเชื่อเอนกประสงค์ 5 Plus
 ซึ่งสามารถสมัครได้ง่ายทั้งทางออนไลน์และแอป Krungthai NEXT

4. สร้างวินัยทางการเงินใหม่
การหลุดจากกับดักติดหนี้บัตรเครดิตต้องอาศัยวินัยระยะยาว อย่าใช้บัตรเครดิตเพื่ออุดรายจ่ายรายวัน คิดก่อนรูด และต้องมีแผนการจ่ายคืนให้ครบตามเวลา

หนี้บัตรเครดิตไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน การแก้ไขจึงต้องอาศัยความตั้งใจและวินัยที่ต่อเนื่อง หากคุณเริ่มรู้สึกว่าแบกรับไม่ไหว การหยุดใช้บัตร วางแผนชำระ และหาทางรีไฟแนนซ์คือทางรอดที่ปลอดภัย อย่ารอให้หนี้พอกพูนจนสายเกินไป เพราะทุกปัญหามีทางออกเสมอ



7
การลงทุนแบบ dca คืออะไร ? การลงทุนแบบ DCA มักถูกพูดถึงในฐานะกลยุทธ์ “ปลอดภัย” สำหรับมือใหม่ แต่จริงหรือไม่ว่า DCA เหมาะกับทุกสถานการณ์? หากคุณกำลังจะเริ่มลงทุนด้วยวิธีนี้ บทความนี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพชัดเจนขึ้นว่ากลยุทธ์นี้มีข้อดีข้อเสียอย่างไร และจะเหมาะกับคุณหรือไม่

เข้าใจหลักการ DCA แบบง่ายที่สุด
DCA (Dollar-Cost Averaging) คือการลงทุน ssf อย่างมีระบบ โดยใส่เงินจำนวนเท่าเดิมเข้าสินทรัพย์เดิม ๆ ในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น ลงทุนในกองทุนรวมเดือนละ 2,000 บาททุกต้นเดือน ssfเงื่อนไข โดยไม่คำนึงถึงราคาตลาด ณ เวลานั้น
ฟังดูเรียบง่าย แต่เบื้องหลังทำความรู้จักกองทุนรวมคืออะไร มีทั้งพลังของวินัยทางการเงิน และข้อจำกัดที่ต้องระวัง

จุดแข็งของการลงทุนแบบ DCA
เหมาะกับตลาดผันผวน
 ไม่ต้องเดาว่าราคาจะขึ้นหรือลง เพราะลงทุนเท่ากันทุกงวด


ควบคุมอารมณ์ในการลงทุน
 ไม่วู่วามตามข่าวร้ายหรือกระแสร้อนในตลาด


เหมาะกับคนที่มีรายได้ประจำ
 ลงทุนได้ต่อเนื่อง และวางแผนง่าย


ไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่
 เริ่มจากเงินหลักร้อยหรือหลักพันก็สามารถเริ่มลงทุนได้ทันที

ข้อเสียที่ควรรู้ก่อนเริ่ม
ไม่เหมาะกับภาวะตลาดขาขึ้นชัดเจน
 หากตลาดพุ่งขึ้นต่อเนื่อง การลงทุนครั้งเดียวแบบก้อนใหญ่อาจได้ผลตอบแทนดีกว่า


อาจลงทุนในสินทรัพย์ที่ผิดทิศทางโดยไม่รู้ตัว
 หากเลือกสินทรัพย์ที่พื้นฐานไม่ดี แม้จะเฉลี่ยต้นทุนก็อาจขาดทุนได้ในระยะยาว


ต้องมีวินัยและความต่อเนื่องสูง
 การหยุดลงทุนกลางทางจะทำให้ผลลัพธ์ของ DCA ไม่สมบูรณ์แบบ

ควรถามตัวเองก่อนเริ่ม DCA
มีรายได้สม่ำเสมอหรือไม่?
เข้าใจสินทรัพย์ที่จะลงทุนแค่ไหน?
พร้อมลงทุนระยะยาวหรือยัง?
มีเป้าหมายการเงินชัดเจนหรือยัง?

DCA เป็นเครื่องมือที่ดี ถ้าใช้ถูกที่ถูกเวลา มันช่วยลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจผิดพลาด และสร้างความสม่ำเสมอในการลงทุน แต่ก็ไม่ใช่สูตรสำเร็จที่ใช้ได้กับทุกคนหรือทุกสถานการณ์

ก่อนเริ่มต้น ควรประเมินตัวเองและเข้าใจว่ากลยุทธ์แบบ DCA จะช่วยให้คุณเข้าใกล้เป้าหมายการเงินในอนาคตได้จริงหรือไม่



8
รู้หรือไม่ว่า การจ่ายเบี้ยประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพสามารถช่วยคุณประหยัดภาษีได้อย่างมีนัยสำคัญ? แต่หลายคนยังไม่มั่นใจว่าควรคำนวณอย่างไร หรือใช้สิทธิ์ได้มากน้อยแค่ไหน วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักวิธีคำนวณลดหย่อนภาษีจากประกันอย่างง่าย พร้อมเทคนิคใช้สิทธิ์อย่างคุ้มค่า

เริ่มจากการรู้ว่าคุณจ่ายเบี้ยประกันอะไรบ้างในปีที่ผ่านมา แบ่งเป็นสองส่วนหลัก คือ
เบี้ยประกันชีวิต – ลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท


เบี้ยประกันสุขภาพ – ลดหย่อนได้สูงสุด 25,000 บาท แต่เมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตต้องไม่เกิน 100,000 บาท


เช่น หากคุณจ่ายเบี้ยประกันชีวิต 80,000 บาท และเบี้ยประกันสุขภาพ 20,000 บาท รวมแล้วได้ 100,000 บาท เท่ากับว่าคุณใช้สิทธิ์ได้เต็มพอดี แต่ถ้าจ่ายเบี้ยสุขภาพถึง 30,000 บาท ก็สามารถนำมาลดหย่อนได้แค่ 20,000 บาทเท่านั้น เพราะขีดจำกัดรวมกันอยู่ที่ 100,000 บาท

ในกรณีของประกันชีวิตแบบควบการลงทุน (Unit Linked) จะสามารถนำมาลดหย่อนได้เฉพาะในส่วนที่ให้ความคุ้มครอง และต้องมีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป โดยคุณต้องแยกยอดเบี้ยที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองออกมาให้ชัดเจน
สำหรับใครที่ใกล้เกษียณ หรือมองหาแผนระยะยาว ประกันบำนาญก็เป็นอีกทางเลือกที่ลดหย่อนได้สูงถึง 200,000 บาท และยังสามารถรวมกับกองทุน RMF หรือ SSF ในวงเงินรวมไม่เกิน 500,000 บาท

เคล็ดลับสุดท้าย อย่าลืมเก็บหลักฐานการจ่ายเบี้ยประกันลดหย่อนภาษี กรุงไทยให้ครบถ้วนทุกปี และควรมีการตรวจสอบเอกสารจากบริษัทประกันหรือที่ปรึกษาทางภาษีก่อนยื่นแบบ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณใช้สิทธิลดหย่อนได้อย่างถูกต้องและคุ้มค่าที่สุด
การรู้จักสิทธิของตนเอง ยื่นเงินกู้นอกระบบ วิธีลดหย่อนภาษี และวางแผนภาษีให้สอดคล้องกับแผนประกัน จะช่วยให้คุณไม่พลาดโอกาสสำคัญในการประหยัดภาษีและสร้างความมั่นคงทางการเงินไปพร้อมกัน สามารถดูข้อมูลกองทุนน่าสนใจ 2566 ที่ https://krungthai.com/th/financial-partner/learn-financial/1758




9
ในยุคที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มตัว หนึ่งในคำถามที่ผู้คนเริ่มตั้งคำถามมากขึ้นคือ “จะวางแผนดูแลชีวิตหลังเกษียณอย่างไรให้มั่นคง?” ซึ่งหนึ่งในคำตอบที่กำลังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องคือ “ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์สำหรับผู้สูงอายุ” ที่ไม่เพียงมอบความคุ้มครองในยามจำเป็น แต่ยังช่วยเก็บออมให้มีเงินใช้ในอนาคตได้อีกด้วย

ประกันผู้สูงอายุ แตกต่างจากประกันทั่วไปอย่างไร
โดยทั่วไปแล้ว ประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพจะมีการจำกัดอายุของผู้สมัครไว้ไม่เกิน 60 ปี เนื่องจากความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในช่วงวัยหลังเกษียณ แต่ประกันชีวิตผู้สูงอายุกลับถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป โดยสามารถสมัครได้ง่ายกว่า ไม่ต้องตรวจสุขภาพ และไม่จำเป็นต้องตอบคำถามด้านสุขภาพแต่อย่างใด จุดเด่นอีกข้อหนึ่งคือแม้จะเป็นประกันชีวิต แต่ก็สามารถผสานแนวคิดการออมเข้าไปได้ด้วย

ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์สำหรับผู้สูงอายุ คืออะไร
นี่คือรูปแบบหนึ่งของประกันชีวิตที่มอบทั้งความคุ้มครองและผลตอบแทนทางการเงินในอนาคต เช่น หากผู้เอาประกันมีชีวิตอยู่จนครบอายุกรมธรรม์ที่กำหนดไว้ เช่น 90 ปี ก็จะได้รับเงินก้อนคืนกลับมาตามที่ระบุไว้ในสัญญา บางแบบประกันอาจระบุผลประโยชน์ไว้ชัดเจน เช่น ได้รับเงินคืน 100,000 บาทหากมีชีวิตอยู่จนครบตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งคล้ายกับการออมเงินในระยะยาว โดยมีความคุ้มครองชีวิตควบคู่กันไป

ควรซื้อประกันแบบไหนดีสำหรับผู้สูงอายุ

ในตลาดประกันปัจจุบัน หลายบริษัทมีแบบประกันชีวิตผู้สูงอายุให้เลือกมากมาย และยังสามารถเพิ่มเติมความคุ้มครองได้ เช่น ซื้อประกัน Unit linked ประกันอุบัติเหตุหรือประกันสุขภาพเพิ่มเข้าไปในแพ็กเกจเดียวกันได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อควรศึกษารายละเอียดของแต่ละแบบประกันสะสมทรัพย์ให้ดี ทั้งเงื่อนไข ความคุ้มครอง ระยะเวลารอคอย และวงเงินชดเชย เพื่อให้ตรงกับความต้องการและเหมาะกับสุขภาพในระยะยาวของตนเอง



10
การออมเงินเป็นพื้นฐานสำคัญของความมั่นคงทางการเงิน แต่ในยุคที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ต่ำ การมองหาทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้นจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น บัญชีเงินฝากประจำแบบปลอดภาษีเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ช่วยให้เงินออมงอกเงยได้มากขึ้น วันนี้เรามี 7 บัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูงจากธนาคารรัฐและเอกชนที่น่าสนใจมาแนะนำ

1. บัญชี Krungthai Zero Tax Max – ธนาคารกรุงไทย
บัญชีเงินฝากประจำ 24 เดือนที่ให้ดอกเบี้ยสูงโดยไม่ถูกหักภาษี อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 1.20% ต่อปี ฝากขั้นต่ำ 1,000 บาท และต้องฝากเป็นจำนวนเงินเท่ากันทุกเดือนจนกว่าจะครบกำหนด
2. บัญชี TTB Dream Saving – ธนาคารทหารไทยธนชาติ
บัญชีเงินฝากที่ช่วยสร้างวินัยทางการเงิน สามารถตั้งค่าหักเงินอัตโนมัติจากฝากออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง ฝากขั้นต่ำ 500 บาท และได้รับอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 1.50% ต่อปี โดยธนาคารคำนวณดอกเบี้ยทุก 6 เดือน
3. เงินฝากประจำ 24 เดือน – ธนาคารไทยพาณิชย์
บัญชีเงินฝากที่มีอัตราดอกเบี้ย 1.25% สำหรับบัญชีทั่วไป และ 1.35% สำหรับบัญชีแบบไม่มีคู่สมุด เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเก็บเงินระยะยาวและได้รับผลตอบแทนที่แน่นอน
4. บัญชีสินมัธยะทรัพย์ทวี-บัวหลวงคิดส์ – ธนาคารกรุงเทพ
เงินฝากประจำที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 24 ถึง 60 เดือน ฝากขั้นต่ำ 1,000 บาท และต้องฝากจำนวนเงินเท่ากันทุกเดือนจนกว่าจะครบกำหนดเพื่อรับดอกเบี้ยพิเศษ
5. เงินฝากประจำรายเดือนปลอดภาษี – ธนาคารออมสิน
เปิดบัญชีเงินฝากประจําที่ให้ดอกเบี้ย 1.30% ต่อปี และได้รับการยกเว้นภาษีเงินฝาก เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการออมเงินเป็นรายเดือน โดยเปิดบัญชีขั้นต่ำที่ 1,000 บาท
6. เงินฝากปลอดภาษี 24 เดือน – ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
บัญชีที่ให้ผลตอบแทน 1.30% ต่อปี เมื่อฝากครบกำหนดจะได้รับโบนัสพิเศษ แต่หากถอนก่อนกำหนดอาจไม่ได้รับดอกเบี้ยเต็มจำนวน
7. บัญชีเงินฝากทวีทรัพย์ – ธนาคารกสิกรไทย
บัญชีเงินฝากแบบปลอดภาษีที่ให้ดอกเบี้ย 1.25% ต่อปี ฝากขั้นต่ำเพียง 500 บาท เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นสร้างวินัยทางการเงิน

บัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูงเหล่านี้เป็นตัวเลือกที่ช่วยให้เงินออมเติบโตมากขึ้นโดยไม่ต้องเสี่ยงกับการลงทุนในสินทรัพย์อื่น การเลือกบัญชีที่เหมาะสมกับเป้าหมายและรูปแบบการออมของตนเองจะช่วยให้สามารถบริหารเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น



11
สวิตเซอร์แลนด์ ประเทศแห่งขุนเขา ทะเลสาบ และธรรมชาติที่สวยงามราวกับภาพวาด นอกจากภูมิประเทศที่น่าหลงใหลแล้ว สกีหิมะ เมืองต่าง ๆ ยังมีเอกลักษณ์และวัฒนธรรมที่โดดเด่น หากคุณกำลังวางแผนเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ นี่คือ 5 สถานที่ที่คุณไม่ควรพลาด!

1. เจนีวา (Geneva) – เมืองนานาชาติริมทะเลสาบ
เจนีวาเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยความเป็นสากล เนื่องจากเป็นที่ตั้งขององค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง นอกจากนี้ยังมีทะเลสาบเจนีวาอันงดงามและสัญลักษณ์ของเมืองอย่าง Jet d'Eau น้ำพุสูงตระหง่านกลางทะเลสาบ
กิจกรรมที่ห้ามพลาด:
ชมวิวทะเลสาบและน้ำพุ Jet d'Eau
เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะและประวัติศาสตร์
เดินเล่นในเมืองเก่า (Vieille Ville) ชมอาคารประวัติศาสตร์

2. ลูเซิร์น (Lucerne) – เมืองแห่งสะพานไม้และขุนเขา
ลูเซิร์นเป็นเมืองที่มีบรรยากาศโรแมนติก รายล้อมไปด้วยทะเลสาบและภูเขา จุดเด่นของเมืองคือสะพานไม้ Chapel Bridge ที่มีอายุกว่า 800 ปี และภูเขา Pilatus ที่สามารถขึ้นไปชมวิวได้
กิจกรรมที่ห้ามพลาด:
ถ่ายรูปที่สะพานไม้ Chapel Bridge
ขึ้นกระเช้าชมวิวที่ยอดเขา Pilatus
เดินเล่นริมทะเลสาบลูเซิร์น

3. อินเตอร์ลาเคน (Interlaken) – เมืองแห่งกิจกรรมกลางแจ้ง
อินเตอร์ลาเคนเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ล้อมรอบไปด้วยภูเขาและทะเลสาบ จุดเด่นคือ Jungfraujoch "Top of Europe" ที่สามารถขึ้นรถไฟไปชมวิวอันตระการตาของเทือกเขาแอลป์
กิจกรรมที่ห้ามพลาด:
นั่งรถไฟไป Jungfraujoch ชมวิวพาโนรามา
เล่นพาราไกลดิ้งจากยอดเขา Harder Kulm
ล่องเรือในทะเลสาบ Thun หรือ Brienz

4. ซูริค (Zurich) – เมืองศิลปะและไลฟ์สไตล์
ซูริคเป็นเมืองที่ทันสมัยและคึกคักที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ เต็มไปด้วยพิพิธภัณฑ์ ร้านค้า และคาเฟ่สุดชิค รวมถึงทะเลสาบซูริคที่เหมาะกับการเดินเล่นชิล ๆ
กิจกรรมที่ห้ามพลาด:
เที่ยวเมืองเก่า (Altstadt) ชมสถาปัตยกรรมยุคกลาง
นั่งรถรางขึ้นเขา Uetliberg ชมวิวเมือง
เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ศิลปะ Kunsthaus Zurich

5. มองเทรอซ์ (Montreux) – เสน่ห์ริมทะเลสาบ
มองเทรอซ์เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่เงียบสงบ ตั้งอยู่ริมทะเลสาบเจนีวา มีบรรยากาศสุดโรแมนติก และเป็นที่ตั้งของปราสาท Chillon ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน
กิจกรรมที่ห้ามพลาด:
เยี่ยมชมปราสาท Chillon
ร่วมเทศกาลดนตรีแจ๊ส Montreux Jazz Festival
เดินเล่นริมทะเลสาบชมวิวเทือกเขาแอลป์



12
การเดินทางไปยุโรปเป็นความฝันของใครหลายคน แต่การขอวีซ่าแต่ละประเทศอาจจะยุ่งยากและใช้เวลานาน จึงทำให้ วีซ่าเชงเก้น กลายเป็นตัวช่วยสำคัญในการทำให้การเดินทางไปหลายประเทศในยุโรปเป็นเรื่องง่ายขึ้น วีซ่าเชงเก้นอนุญาตให้ผู้ถือวีซ่าสามารถเดินทางไปยังหลายประเทศในเขตเชงเก้นได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าใหม่สำหรับแต่ละประเทศ

วีซ่าเชงเก้นคืออะไร?
วีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa) คือวีซ่าที่อนุญาตให้ผู้ถือสามารถเดินทางในประเทศที่อยู่ในเขตเชงเก้นโดยไม่จำเป็นต้องขอวีซ่าของแต่ละประเทศแยกต่างหาก วีซ่านี้มีระยะเวลาการเข้าพักสูงสุด 90 วันภายในระยะเวลา 180 วัน ซึ่งเหมาะสำหรับการท่องเที่ยว, ทำธุระ, หรือกิจกรรมอื่น ๆ ในหลายประเทศของยุโรป

ประเทศในเขตเชงเก้น วีซ่าเชงเก้นมีกี่ประเทศ
ปัจจุบัน เขตเชงเก้น ประกอบด้วย 27 ประเทศที่สามารถเดินทางได้ด้วยวีซ่าเชงเก้น ซึ่งประกอบด้วย:
ออสเตรีย (Austria)
เบลเยียม (Belgium)
เช็กเกีย (Czech Republic)
เดนมาร์ก (Denmark)
เอสโตเนีย (Estonia)
ฟินแลนด์ (Finland)
ฝรั่งเศส (France)
เยอรมนี (Germany)
กรีซ (Greece)
ฮังการี (Hungary)
ไอซ์แลนด์ (Iceland)
อิตาลี (Italy)
ลัตเวีย (Latvia)
ลิทัวเนีย (Lithuania)
ลักเซมเบิร์ก (Luxembourg)
มอลตา (Malta)
เนเธอร์แลนด์ (Netherlands)
นอร์เวย์ (Norway)
โปแลนด์ (Poland)
โปรตุเกส (Portugal)
สโลวาเกีย (Slovakia)
สโลวีเนีย (Slovenia)
สเปน (Spain)
สวีเดน (Sweden)
สวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland)
ลิกเตนสไตน์ (Liechtenstein)
มอนาโก (Monaco)

วิธีการขอวีซ่าเชงเก้น
การขอ วีซ่าเชงเก้น จะต้องเตรียมเอกสารต่างๆ ดังนี้:
แบบฟอร์มขอวีซ่า: กรอกข้อมูลเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ สถานที่ท่องเที่ยวอิตาลีให้ครบถ้วน
หนังสือเดินทาง: อายุการใช้งานต้องเหลืออย่างน้อย 3 เดือน
รูปถ่าย: ตามมาตรฐานของวีซ่า
หลักฐานการเงิน: แสดงว่าคุณมีเงินเพียงพอในการเดินทาง
ตั๋วเครื่องบิน: แสดงการเดินทางไปและกลับ
ประกันสุขภาพ: คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลในยุโรป

การมี วีซ่าเชงเก้น ทำให้การเดินทางในหลายประเทศยุโรปสะดวกและรวดเร็ว โดยไม่ต้องขอวีซ่าใหม่ทุกครั้งที่ข้ามไปประเทศต่างๆ ในเขตเชงเก้น หากคุณวางแผนจะเดินทางไปยุโรป อย่าลืมตรวจสอบข้อกำหนดและเตรียมเอกสารให้พร้อมเพื่อการเดินทางฤดูใบไม้ร่วงญี่ปุ่นที่ราบรื่น!



13
ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ต่ำแต่เงินเฟ้อพุ่งสูง จะเก็บเงินไว้เฉย ๆ ก็คงไม่ดี แต่การลงทุนก็อาจมีความเสี่ยงสูงเกินไปสำหรับบางคน ทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจคือ บัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูงแบบปลอดภาษี ซึ่งช่วยให้คุณออมเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรับผลตอบแทนที่มากกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป

บัญชีเงินฝากปลอดภาษีคืออะไร?
บัญชีเงินฝากปลอดภาษีเป็นบัญชีที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป และไม่ต้องเสียภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก มีระยะเวลาฝากที่กำหนด เช่น 24, 36 หรือ 48 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างวินัยการออมเพื่อรับเงินก้อนโตในอนาคต

ข้อดีของบัญชีเงินฝากปลอดภาษี บัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง
✅ ดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป
✅ ได้รับการยกเว้นภาษีดอกเบี้ยเงินฝาก
✅ เป็นการออมที่มีความเสี่ยงต่ำ
✅ สามารถเลือกฝากในระยะเวลาต่าง ๆ ตามแผนการเงินของคุณ

เงื่อนไขทั่วไปของบัญชีเงินฝากปลอดภาษี
ผู้ฝาก 1 คนสามารถเปิดได้เพียง 1 บัญชี
ฝากเงินเท่ากันทุกเดือนจนกว่าจะครบกำหนด เช่น หากเริ่มฝาก 1,000 บาท ต้องฝากเท่ากันทุกเดือน
ห้ามขาดการฝากเกิน 2 เดือนติดต่อกัน มิฉะนั้นบัญชีอาจถูกยกเลิก
หากถอนก่อนกำหนด อาจไม่ได้รับดอกเบี้ยตามสัญญา

5 อันดับบัญชีเงินฝากปลอดภาษี เงินฝากประจำดอกเบี้ยสูงที่น่าสนใจ
ธนาคารไทยเครดิต – ดอกเบี้ย 1.9 - 2.0% ต่อปี ฝากขั้นต่ำ 1,000 บาท
ธนาคารไอซีบีซี ประเทศไทย – ดอกเบี้ย 1.75 - 1.90% ต่อปี ฝากขั้นต่ำ 1,000 บาท
ธนาคารยูโอบี – ดอกเบี้ย 1.50% ต่อปี ฝากขั้นต่ำ 1,000 บาท พร้อมประกันอุบัติเหตุฟรี
ธนาคารออมสิน – ดอกเบี้ย 1.30% ต่อปี ฝากขั้นต่ำ 1,000 บาท
ธนาคารกรุงไทย – ดอกเบี้ยสูงสุด 2.0% ต่อปี (อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว) ฝากขั้นต่ำ 1,000 บาท

หากคุณต้องการออมเงินพร้อมรับดอกเบี้ยสูง บัญชีเงินฝากดอกเบี้ยสูงป็นทางเลือกที่ช่วยให้คุณมีเงินก้อนในอนาคต พร้อมผลตอบแทนที่คุ้มค่าโดยไม่ต้องเสี่ยงสูง



14
SWIFT Code คืออะไร?
SWIFT Code เป็นรหัสเฉพาะของแต่ละธนาคารที่ใช้ในการโอนเงินไปต่างประเทศระหว่างประเทศ เพื่อให้ธุรกรรมเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัย รหัสนี้มีความยาว 8-11 ตัวอักษร และช่วยให้ระบบธนาคารทั่วโลกสามารถระบุปลายทางของเงินได้อย่างแม่นยำ

โอนเงินผ่าน swift code ใช้เวลากี่วัน?
โดยทั่วไป การโอนเงินระหว่างประเทศผ่าน SWIFT Code ใช้เวลาเฉลี่ย 1-5 วันทำการ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น
ประเทศปลายทาง: การโอนไปยังบางประเทศอาจใช้เวลานานกว่าปกติ
จำนวนธนาคารตัวกลาง: หากเงินต้องผ่านธนาคารหลายแห่ง จะทำให้ระยะเวลาโอนนานขึ้น
ช่วงเวลาทำรายการ: หากทำรายการในวันหยุดหรือหลังเวลาทำการของธนาคาร เงินอาจถูกดำเนินการในวันถัดไป
นโยบายของธนาคาร: ธนาคารแต่ละแห่งอาจมีระยะเวลาการดำเนินการต่างกัน

วิธีทำให้การโอนเงินไปต่างประเทศให้เร็วขึ้น
ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องก่อนทำรายการ
เลือกตัวเลือก "โอนแบบเร่งด่วน" หากธนาคารมีให้บริการ
ทำรายการในช่วงเวลาทำการของธนาคารเพื่อลดความล่าช้า

การโอนเงินผ่าน SWIFT Code โดยทั่วไปใช้เวลา 1-5 วันทำการ ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย หากต้องการให้เงินถึงเร็ว ควรตรวจสอบรายละเอียดให้ครบถ้วนและเลือกโอนในช่วงเวลาที่เหมาะสม



15
บัญชีฝากประจำดอกเบี้ยสูงเป็นตัวเลือกที่หลายคนเลือกใช้ในการเก็บเงิน เนื่องจากมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป แต่ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเปิดบัญชีฝากประจำ ลองมาดูข้อดีและข้อเสียของบัญชีประเภทนี้ที่คุณควรรู้ก่อน

1. ดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์
สิ่งที่ทำให้บัญชีฝากประจำดอกเบี้ยสูงโดดเด่นคืออัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ โดยสามารถให้ดอกเบี้ยได้สูงถึง 3% ต่อปี ซึ่งทำให้มันเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่ต้องการผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว
2. ไม่มีความเสี่ยงจากการลงทุน
บัญชีฝากประจำถือเป็นการออมเงินที่ปลอดภัย เนื่องจากธนาคารจะไม่ใช้เงินของคุณไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่าง ๆ และได้รับการคุ้มครองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ดังนั้นคุณสามารถมั่นใจได้ว่าเงินของคุณจะปลอดภัย
3. ไม่สามารถถอนเงินก่อนกำหนด
หนึ่งในข้อเสียที่สำคัญของบัญชีฝากประจำคือไม่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้จนกว่าจะครบกำหนด ถ้าคุณถอนเงินก่อนกำหนด จะไม่ได้รับดอกเบี้ยหรือได้รับดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าปกติ ซึ่งอาจไม่เหมาะสำหรับคนที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินในระยะสั้น
4. ต้องเสียภาษีจากดอกเบี้ย
ดอกเบี้ยที่ได้รับจากเงินฝากประจำอัตราดอกเบี้ยสูงยังต้องเสียภาษี 15% ต่อปี ซึ่งหมายความว่าผลตอบแทนที่ได้รับอาจลดลงจากการหักภาษีในส่วนนี้ ถ้าคุณมีเงินก้อนใหญ่ การเสียภาษีนี้อาจทำให้ผลตอบแทนจากบัญชีฝากประจำไม่คุ้มค่ากับการลงทุนในรูปแบบอื่น

บัญชีฝากประจําดอกเบี้ยสูงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการผลตอบแทนที่มั่นคงและปลอดภัยจากการฝากเงินระยะยาว แต่คุณควรพิจารณาข้อจำกัดในเรื่องการถอนเงินและภาษีดอกเบี้ยที่จะถูกหักออกไป หากคุณไม่อยากเผชิญกับข้อจำกัดเหล่านี้ การลงทุนในรูปแบบอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงและลดหย่อนภาษีได้อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า



หน้า: [1] 2 3 4