head prakardsod




































































แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - radnana

หน้า: [1] 2 3 ... 8
1


เชื่อว่าผู้ประกอบการรุ่นใหม่สนใจสร้างผลิตภัณฑ์ที่ช่วยตอบโจทย์การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมขึ้นมาบ้าง
ซึ่งนอกจากธุรกิจกลุ่มนี้มีโปรดักส์ใหม่ถูกใจลูกค้าสายรักษ์โลกแล้วยังเป็นการต่อยอดธุรกิจในอนาคต
ด้วยการเข้าถึงแหล่งเงินกู้ที่ทั้งง่ายและดอกเบี้ยต่ำมาก ธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมได้รับดอกเบี้ยต่ำขนาดนี้ต้องปฏิบัติตามหลักการ ESG อันเป็นเกณฑ์พิจารณาขอ สินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งออกแบบโดยธนาคาร เราจะพามาดูว่า ESG คืออะไร และจะเป็นโอกาสของธุรกิจอย่างไรบ้างมาดูเลย

E (Environment)
การขอเงินกู้เพื่อดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมสามารถทำได้หลายทางตั้งแต่ขอกู้เงินเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน สินเชื่อ Solar Rooftop เพื่อปรับปรุงระบบไฟในอาคาร รวมไปถึงธุรกิจ SMEs ที่เปลี่ยนโครงสร้างธุรกิจเพื่อดำเนินงานในส่วนของผลิตภัณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อม หลายธุรกิจพยายาม Disrupt ตนเองด้วยการใช้เทคโนโลยีพลังงานสะอาดเพื่อขอแหล่ง สินเชื่อต่อยอดธุรกิจ เพื่อมองหาตลาดช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าใหม่ ๆ รวมทั้งจ่ายต้นทุนดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ที่ปีละ 2 - 3% และดอกเบี้ยจะคงที่เฉลี่ย 7 ปี และได้วงเงินในส่วนของ สินเชื่อหมุนเวียน ที่หลายบริษัทต้องการมากกว่า สินเชื่อระยะยาว เสียอีก เพราะแทบไม่ต้องเสียดอกเบี้ยส่วนต่างเลยหากบริหารจัดการได้อย่างถูกต้อง เช่น ตั๋วสัญญาใช้เงิน P/N ซึ่งบางธนาคารเสนอให้ด้วยวงเงิน 50 ล้านบาท และยังมีวงเงินสินเชื่อต่าง ๆ แถมมาด้วยอีก
แน่นอนว่าด้วยเงื่อนไขที่น่าสนใจแบบนี้จึงเป็นโอกาสให้หลายธุรกิจปรับตัวเพื่อสิ่งแวดล้อม แต่อย่างไรก็ตามเงื่อนไขการให้กู้ก็ไม่ใช่ว่าจะผ่านไปแบบง่าย ๆ เพราะบางสินเชื่อกำหนดเงื่อนไขการวางสินทรัพย์ค้ำประกัน รวมทั้งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบอีกว่าวงเงินที่ขอกู้ไปเพื่อสิ่งแวดล้อมทำจริงหรือไม่? เช่น
การสร้างโรงงานบำบัดน้ำเสียจะถูกตรวจสอบว่าน้ำที่ผ่านการบำบัดแล้วมีสารตกค้างเจือปนอยู่หรือไม่? หรือโรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากขยะส่งผลเสียต่อชุมชนโดยรอบซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหรือไม่?

S (Society)
ตามที่ได้กล่าวไปว่าผู้มีส่วนได้เสียเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ผู้ประกอบการ SMEs จะละเลยไม่ได้หากต้องการสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อม เพราะหากธุรกิจของเราส่งผลกระทบต่อสังคมย่อมเสียภาพลักษณ์ในการทำธุรกิจและส่งผลไปต่อผู้ให้กู้ด้วย เช่น ส่งเสริมการใช้ความรุนแรงต่อผู้หญิง ไม่สนับสนุนสิทธิมนุษยชน หรือธุรกิจดำเนินการตัดไม้ทำลายป่าส่งผลให้เกิดน้ำท่วม ดินถล่ม หรือแม้กระทั่งปล่อยน้ำเสียลงสู่ชุมชน ด้วยประเด็นเหล่านี้หลายธนาคารเริ่มพิจารณาแล้วเช่นเดียวกัน

G (Governance)
หลักธรรมาภิบาลเป็นสิ่งที่บริษัทละเลยไม่ได้เช่นเดียวกัน ซึ่งข้อ G นี้คือการตรวจสอบว่าเจ้าของธุรกิจดำเนินงานโปร่งใสหรือไม่ เช่น บริษัท A ผู้บริหารไม่สนใจต่อการบริหารงานเพื่อองค์กร วัน ๆ ออกข่าวปั่นหุ้นเพื่อสร้างราคาหุ้นและกดราคาหุ้นให้ต่ำลงอันส่งผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น หรือผู้บริหารบริษัททุจริตต่อหน้าที่การงาน ไม่เสียภาษีเงินได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ผิดต่อหลักจริยธรรมทั้งสิ้น

ในอดีตธนาคารจะมุ่งเน้นให้ความสำคัญต่อด้านสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบันหลักเกณฑ์ได้ถูกปรับเปลี่ยนไป ธนาคารจะพิจารณาปล่อย สินเชื่อขยายธุรกิจ ด้านสิ่งแวดล้อม โดยพิจารณาจากปัจจัยทั้งสามทาง ดังนั้นธุรกิจจะได้รับโอกาสอันดีจากสินเชื่อดอกเบี้ยถูกนี้หรือไม่ ต้องดำเนินการหลัก ESG อย่างเคร่งครัด





2

ทุกคนต่างมีความฝันเป็นเป้าหมายในการดำเนินชีวิต และเชื่อว่าในทุกความฝันนั้นจำเป็นต้องใช้เงินเป็นตัวขับเคลื่อนทั้งสิ้นเพียงแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง บางคนจึงเลือกต่อยอดเงินเก็บด้วยการลงทุน เช่น พันธบัตร หุ้นกู้ ตราสารหนี้ หุ้น หรือกองทุนรวมต่าง ๆ  ซึ่งค่อนข้างมีความเสี่ยงเนื่องจากความผันผวนของตลาด ภาวะเศรษฐกิจ และปัจจัยร่วมอื่น ๆ สำหรับคนที่ไม่พร้อมรับมือกับความเสี่ยงหรือเพียงแค่ต้องการมีเก็บเงินสักก้อน ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ

ประกันสะสมทรัพย์ คือ?
ประกันสะสมทรัพย์ หรือ ประกันออมทรัพย์ เป็นรูปแบบหนึ่งของประกันชีวิตซึ่งผสมผสานทั้งการคุ้มครองชีวิตและการออมทรัพย์ไว้ด้วยกัน โดยเมื่อครบกำหนดสัญญาบริษัทประกันจะจ่ายเงินคืนพร้อมผลตอบแทนเป็นเงินก้อนให้แก่ผู้ทำประกันตามเงื่อนไขข้อตกลง หากผู้ทำประกันเสียชีวิตระหว่างการคุ้มครองของกรมธรรม์ บริษัทประกันจะจ่ายเงินก้อนนี้ให้แก่ทายาทหรือผู้รับผลประโยชน์แทน

ประกันสะสมทรัพย์ ต่างจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์อย่างไร?
ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ มีวัตถุประสงค์เพื่อออมทรัพย์พร้อมให้การคุ้มครองชีวิต ในขณะที่บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของสถาบันการเงินมีเพียงเป้าหมายเดียวคือการออม นอกจากนี้ ประกันออมทรัพย์ ยังให้ผลตอบแทนที่มากกว่า ไม่เสียต้องเสียภาษี ทั้งยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาท แต่หากต้องการเบิกถอนเงินออกมาใช้ระหว่างสัญญาต้องทำเรื่องเวนคืนกรมธรรม์ โดยจำนวนเงินที่ได้คืนมานั้นจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาส่งเบี้ยจึงอาจมีความคล่องตัวน้อยกว่าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ทั่วไป ทว่าเงื่อนไขนี้ก็ช่วยให้เก็บออมเงินได้ดีกว่าเช่นกัน

ประกันสะสมทรัพย์ เหมาะกับใคร?
หนึ่งในเงื่อนไขของ ประกันเงินออม คือต้องส่งเบี้ยประกันต่อปีเป็นจำนวนเงินที่เท่ากันในระยะเวลาหนึ่งจึงเป็นเหมือนการฝึกวินัยการออมไปในตัว ทั้งยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการมีเงินเก็บไม่ว่าจะอยู่ในช่วงวัยเริ่มต้นทำงานหรือกำลังสร้างครอบครัวก็ตาม นอกจากนี้แล้ว ประกันออมทรัพย์ ยังเหมาะสำหรับคนที่ไม่พร้อมรับความเสี่ยงจากการลงทุน เนื่องจากไม่มีความผันผวนและให้ผลตอบแทนแน่นอน

ตัวเลขท้ายชื่อของ ประกันเงินออม หมายถึงอะไร?
จุดสังเกตของประกันสะสมทรัพย์คือมักจะมีตัวเลขอยู่ท้ายชื่อ โดยตัวเลขกลุ่มแรกหมายถึงจำนวนปีที่ได้รับความคุ้มครอง ตัวเลขกลุ่มที่สองหมายถึงจำนวนปีที่ต้องส่งเบี้ยประกัน ยกตัวอย่างเช่น ประกันสะสมทรัพย์ออนไลน์ Easy E-SAVE 10/5 นั่นแสดงว่าประกันฉบับนี้จ่ายเบี้ยระยะสั้นเพียงแค่ 5 ปี แต่ให้ความคุ้มครองยาวนานถึง 10 ปี

ประกันสะสมทรัพย์ออนไลน์ Easy E-SAVE 10/5 จาก SCB PROTECT การันตีเงินคืนทุกปีเริ่มจาก 4% ของทุนประกันในปีที่ 1 - 5 และเพิ่มเป็น 5% ในปีที่ 6 - 9 เมื่อครบสัญญาหรือสิ้นปีที่ 10 จะได้รับเงินก้อนจำนวน 350% ของทุนประกัน ทั้งยังเลือกเบี้ยประกันต่อปีได้ตั้งแต่ 20,000 - 400,000 บาทคุ้มครองชีวิตตลอดสัญญา และสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท การันตีความพึงพอใจจากธนาคารไทยพาณิชย์



3


การออมเงินเป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญที่ควรปลูกฝังให้กับเด็กและเยาวชนตั้งแต่ยังเล็ก บัญชีเงินฝากออมทรัพย์สำหรับเด็กและเยาวชนจึงเป็นเครื่องมือที่ดีในการเริ่มต้นการออมที่มีประสิทธิภาพ ในบทความนี้ เราจะสำรวจถึงความสำคัญ ประโยชน์ และวิธีการเลือกบัญชีเงินฝากออมทรัพย์หรือฝากประจำที่เหมาะสมสำหรับเด็กและเยาวชน

ความสำคัญของการออมเงินในวัยเยาว์

การสอนให้เด็กและเยาวชนรู้จักการออมเงินไม่เพียงแต่ช่วยให้พวกเขามีเงินเก็บในอนาคต แต่ยังช่วยพัฒนาทักษะการบริหารจัดการเงินและความรับผิดชอบทางการเงิน การมีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์จะช่วยให้เด็กเรียนรู้การตั้งเป้าหมายการออม เช่น การซื้อของที่ต้องการ หรือการเก็บเงินสำหรับการศึกษาต่อในอนาคต

ประโยชน์ของบัญชีเงินฝากออมทรัพย์สำหรับเด็กและเยาวชน

1. การเรียนรู้การบริหารจัดการเงิน: บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ช่วยให้เด็กเข้าใจการจัดการเงินและการออมได้ดีขึ้น โดยสามารถติดตามยอดเงินที่มีอยู่และการเติบโตของเงินออม

2. ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น: หลายธนาคารมีข้อเสนอพิเศษสำหรับบัญชีเงินฝากออมทรัพย์สำหรับเด็ก ซึ่งมักจะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าบัญชีทั่วไป

3. ความปลอดภัย: การฝากเงินในบัญชีธนาคารเป็นวิธีที่ปลอดภัยในการเก็บเงิน เนื่องจากเงินจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย

4. การส่งเสริมวินัยในการออม: การมีบัญชีออมทรัพย์ทำให้เด็กเรียนรู้ถึงความสำคัญของการออมและการใช้จ่ายอย่างมีวินัย

วิธีการเลือกบัญชีเงินฝากออมทรัพย์สำหรับเด็ก

เมื่อเลือกบัญชีเงินฝากออมทรัพย์สำหรับเด็กและเยาวชน ควรพิจารณาปัจจัยดังต่อไปนี้:

1. อัตราดอกเบี้ย: เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับผลตอบแทนที่ดีที่สุดจากการออม

2. ค่าธรรมเนียม: ตรวจสอบว่าบัญชีมีค่าธรรมเนียมในการเปิดบัญชีหรือค่าธรรมเนียมรายปีหรือไม่

3. เงื่อนไขการถอนเงิน: ควรเลือกบัญชีที่มีเงื่อนไขการถอนเงินที่สะดวกและไม่ยุ่งยาก

4. บริการออนไลน์: บางธนาคารมีบริการออนไลน์ที่ช่วยให้ผู้ปกครองสามารถติดตามการออมของเด็กได้อย่างง่ายดาย


บัญชีเงินฝากออมทรัพย์สำหรับเด็กและเยาวชนเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการส่งเสริมการออมฝากเงินและการบริหารจัดการเงินในวัยเยาว์ ด้วยการเลือกบัญชีที่เหมาะสม เด็ก ๆ จะได้รับประโยชน์จากการเรียนรู้การออมและการใช้จ่ายอย่างมีวินัย ซึ่งจะช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตทางการเงินที่มั่นคง

หากคุณสนใจที่จะเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์สำหรับเด็กในวันนี้ อย่าลืมเปรียบเทียบข้อมูลจากธนาคารต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับลูกของคุณ!



4
เมื่อพูดถึงการวางแผนการเงินและการจัดการคํานวณภาษี ชําระภาษีออนไลน์ประกันชีวิตและประกันสุขภาพเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่หลายคนเลือกใช้ เพื่อไม่เพียงแต่ปกป้องความเสี่ยงในชีวิตและสุขภาพ แต่ยังช่วยลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย ในบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจและเปรียบเทียบประกันชีวิตและประกันสุขภาพ ว่าตัวไหนช่วยลดหย่อนภาษีได้มากกว่า

## ประกันชีวิต: ประโยชน์และการลดหย่อนภาษี

ประกันชีวิตเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ช่วยให้คุณมีความมั่นคงในอนาคต โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น การเสียชีวิตหรือการเจ็บป่วยรุนแรง ประกันชีวิตสามารถช่วยให้ครอบครัวของคุณได้รับเงินชดเชยตามที่กำหนดในกรมธรรม์

### การลดหย่อนภาษีจากประกันชีวิต

ตามกฎหมายภาษีของประเทศไทย ผู้ที่ทำประกันชีวิตสามารถลดหย่อนชําระภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาทต่อปี สำหรับเบี้ยประกันชีวิตที่จ่ายในปีนั้น ๆ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นกรมธรรม์ที่มีระยะเวลาคุ้มครองไม่น้อยกว่า 10 ปี และต้องเป็นกรมธรรม์ที่มีการคุ้มครองชีวิตจริง ๆ

## ประกันสุขภาพ: ประโยชน์และการลดหย่อนภาษี

ประกันสุขภาพเป็นการคุ้มครองค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ ซึ่งรวมถึงการรักษาพยาบาล การตรวจสุขภาพ และการรักษาโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคที่ต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง เช่น มะเร็ง หรือโรคเรื้อรัง

### การลดหย่อนภาษีจากประกันสุขภาพ

สำหรับประกันสุขภาพ ผู้ที่ทำประกันสุขภาพสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 25,000 บาทต่อปี โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นกรมธรรม์ที่มีการคุ้มครองสุขภาพจริง ๆ และมีการจ่ายเบี้ยประกันในปีนั้น

## เปรียบเทียบการลดหย่อนภาษี

จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นได้ว่าประกันชีวิตมีการลดหย่อนภาษีที่สูงกว่าประกันสุขภาพ โดยสามารถลดหย่อนภาษีได้ถึง 100,000 บาท ขณะที่ประกันสุขภาพสามารถลดหย่อนภาษีได้เพียง 25,000 บาทเท่านั้น

### ความสำคัญของการเลือกประกัน

การเลือกประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพขึ้นอยู่กับความต้องการและสถานการณ์ทางการเงินของแต่ละบุคคล หากคุณต้องการความมั่นคงในชีวิตและการวางแผนการเงินระยะยาว ประกันชีวิตอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แต่หากคุณต้องการการคุ้มครองด้านสุขภาพและค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ ประกันสุขภาพก็เป็นตัวเลือกที่สำคัญ

## สรุป

ในที่สุด การเลือกประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการส่วนบุคคลและเป้าหมายทางการเงินของคุณ หากคุณต้องการลดหย่อนภาษีได้มากที่สุด ประกันชีวิตจะเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า แต่หากคุณให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพและค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ ประกันสุขภาพก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน

หากคุณกำลังพิจารณาทำประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและเหมาะสมกับความต้องการของคุณ





5

         ในยุคที่เศรษฐกิจฝืดเคือง ค่าครองชีพสูงขึ้นเรื่อย ๆ หลายคนอาจเจอปัญหารายรับน้อยกว่ารายจ่ายทำให้เงินขาดมือหรือหมุนเงินไม่ทัน ซึ่งนี่ถือเป็นสถานการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่เป็นมนุษย์เงินเดือน ไม่ว่าจะเป็นข้าราขการ พนักงานบริษัท หรือแม้แต่เจ้าของธุรกิจขนาดย่อม ด้วยเหตุนี้ทางธนาคารกรุงไทยจึงได้ออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อบุคคลที่จะช่วยอุดช่องโหว่ด้านรายได้ของคนหลากหลายอาชีพ เพื่อช่วยให้คุณใช้ชีวิตต่อได้อย่างราบรื่น เช่น สินเชื่ออเนกประสงค์เพื่อข้าราชการที่มีดอกเบี้ยต่ำเพียง 0.75% ต่อปี ผ่อนยาว 20 ปี หรือ สินเชื่อธนาคาร กรุงไทย Smart Money ที่ให้วงเงินสูงสุด 5 เท่าของรายได้ รวมถึงสินเชื่อกรุงไทยใจป้ำที่ให้วงเงินสูงสุดถึง 1 ล้านบาท และสามารถกู้ได้ทุกอาชีพ เป็นต้น ดังนั้นเพื่อช่วยให้ผู้ที่กำลังประสบปัญหาเงินขาดมือมีทางเลือกด้านการเงินมากขึ้น วันนี้จะพาไปทำความรู้จักกับสินเชื่อส่วนบุคคลที่น่าสนใจจากธนาคารกรุงไทยกัน

สินเชื่อส่วนบุคคลคืออะไร เหมาะกับใครบ้าง?
สินเชื่อประเภทส่วนบุคคล คือเงินกู้ ที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินให้คุณกู้ยืมเพื่อนำไปใช้จ่ายได้อิสระตามความต้องการ โดยอัตราดอกเบี้ยและรูปแบบการชำระคืนเป็นไปตามเงื่อนไขธนาคารที่ปล่อยกู้กำหนด ปกติแล้วทางธนาคารจะพิจารณาจำนวนวงเงินที่จะปล่อยกู้ตามรายได้ขั้นต่ำต่อเดือนของผู้ขอกู้ ประกอบกับความสามารถในการชำระหนี้คืน และอาจกำหนดเงื่อนไขว่าต้องใช้บุคคลหรือหลักทรัพย์ค้ำประกันหรือไม่ก็ได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ สินเชื่อส่วนบุคคล มักถูกนำไปใช้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นใช้ในการลงทุน การขยายธุรกิจ การศึกษา การปรับปรุงที่อยู่อาศัย การรักษาพยาบาล ไปจนถึงการใช้จ่ายต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน โดยเหมาะสำหรับคน 2 กลุ่ม ดังนี้
พนักงานที่มีรายได้ประจำ
พนักงานที่มีรายได้ประจำและมีเอกสารแสดงรายรับชัดเจน เช่น พนักงานบริษัท หรือข้าราชการ บุคคลกลุ่มนี้ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน เพราะธนาคารมองว่ารายได้ประจำในแต่เดือนถือเป็นเครื่องการันตีถึงความสามารถการชำระหนี้ในตัวอยู่แล้ว
ผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการ
ผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการที่ยื่นขอกู้ควรประกอบธุรกิจมาไม่น้อยกว่า 1 ปี เพราะทางธนาคารจะพิจารณารายได้ของธุรกิจว่ามีความสม่ำเสมอเหมาะที่จะปล่อยกู้หรือไม่

จุดเด่นของสินเชื่อส่วนบุคคลกรุงไทย
หลาย ๆ คนที่เคยมีประสบการณ์ กู้เงินธนาคาร หรือสถาบันการเงินอื่น ๆ มาก่อนย่อมจะทราบว่า ธนาคารส่วนใหญ่มักจะเคร่งครัดเรื่องการคัดกรองผู้ยื่นขอกู้ เช่น มีการกำหนดกลุ่มอาชีพของผู้ขอกู้ รวมถึงกำหนดเพดานเงินเดือนขั้นต่ำในระดับสูง ยิ่งไปกว่านั้นผลิตภัณฑ์ เงินกู้ ก็มีให้เลือกค่อนข้างน้อย ไม่ตอบโจทย์กับอาชีพที่หลากหลาย อีกทั้งวงเงินที่ได้ก็มักจะต่ำสวนทางกับอัตราดอกเบี้ยที่สูง แตกต่างจากการ กู้ธนาคาร กรุงไทยที่นอกจากจะมีผลิตภัณฑ์ให้เลือกหลากหลายรูปแบบและผู้กู้ยังสามารถเลือกได้ว่าสินเชื่อแบบไหนเหมาะกับความต้องการของตัวเองมากที่สุดแล้ว ยังให้วงเงินกู้สูง อัตราดอกเบี้ยสมเหตุสมผล และที่สำคัญคือสามารถกู้ได้ทุกอาชีพ แม้แต่อาชีพฟรีแลนซ์ก็สามารถขอกู้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การ กู้เงินธนาคาร กรุงไทยนั้นมีความยืดหยุ่นสูง ตอบโจทย์ของคนหลากหลายอาชีพได้อย่างลงตัว

รู้จักสินเชื่อส่วนบุคคลกรุงไทยที่น่าสนใจ
   สำหรับผลิตภัณฑ์ สินเชื่อส่วนบุคคล กรุงไทยที่นำมาแนะนำกันในวันนี้มีด้วยกัน 4 รูปแบบ ตอบโจทย์ด้านการเงินที่แตกต่างกัน
สินเชื่อกรุงไทยใจป้ำ
สินเชื่อเงินสด อนุมัติไวที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้จ่ายของกลุ่มมนุษย์เงินเดือนหลากหลายอาชีพ ให้วงเงินสูงสุดถึง 5 เท่าของรายได้ต่อเดือน (ไม่เกิน 1 ล้านบาท) ผ่อนนานสูงสุด 60 เดือน ดอกเบี้ย 20% ต่อปี อาชีพไหนก็กู้ได้เพียงมีรายได้ขั้นต่ำต่อเดือน 15,000 บาทขึ้นไป ที่สำคัญคือขอกู้ง่าย ไม่ต้องมีหลักทรัพย์หรือคนค้ำประกัน สามารถสมัครขอสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชัน Krungthai NEXT และแอปเป๋าตังได้ รู้ผลการพิจารณาภายใน 3 วันทำการ
สินเชื่อข้าราชการอเนกประสงค์
สินเชื่อธนาคาร กรุงไทยที่ออกแบบมาเพื่อเป็นตัวช่วยด้านการเงินของกลุ่มอาชีพข้าราชการ พนักงานสัญญาจ้าง ลูกจ้างในหน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจที่มีรายได้น้อยโดยเฉพาะ ให้วงเงินกู้สูงถึง 5 ล้านบาท แม้จะไม่ได้รับเงินเดือนผ่านธนาคารกรุงไทยก็สามารถยื่นกู้ได้ ในกรณีที่เป็นข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ เจ้าหน้าที่องค์การมหาชน เจ้าหน้าที่องค์การของรัฐ ขอเพียงมีเงินเดือนขั้นต่ำตั้งแต่ 13,000 บาทขึ้นไป และมีอายุงานไม่น้อยกว่า 1 ปี ส่วนพนักงานราชการ พนักงานสัญญาจ้าง และลูกจ้างในหน่วยงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจจะต้องมีสัญญาจ้างไม่ต่ำกว่า 2 ปี และอายุงานต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปี มีเงินเดือนตั้งแต่ 15,000 บาทขึ้นไป

อัตราดอกเบี้ยเงิน กู้เงิน ธนาคาร กรุงไทย
   สำหรับผู้ที่สนใจผลิตภัณฑ์ สินเชื่อ ของกรุงไทย แต่ยังมีความกังวลเรื่องอัตราดอกเบี้ย กลัวว่าจะจ่ายดอกเบี้ยไม่ไหวก็ขออย่าได้วิตกไป เพราะตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2567 ทางธนาคารกรุงไทยได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย MOR ลง 0.25% ต่อปี ส่วนดอกเบี้ย MLR และ MRR ปรับลง 0.125% ต่อปี ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันของกรุงไทยเหลือดังนี้
อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเบิกเกินบัญชี (MOR) ปรับลดจาก 7.52% ต่อปี เหลือ 7.27% ต่อปี
อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภท เงินกู้ แบบมีระยะเวลา (MLR) ปรับลดลงจาก 7.05% ต่อปี เหลือ 6.925% ต่อปี
อัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ปรับลดลงจาก 7.57% ต่อปี เหลือ 7.445% ต่อปี

ทั้งหมดนี้คือรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับ สินเชื่อ ส่วนบุคคลจากธนาคารกรุงไทย ซึ่งจะเห็นได้ว่าผลิตภัณฑ์การเงินแต่ละประเภทของกรุงไทยนั้นถูกออกแบบมาให้ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มคนหลากหลายอาชีพ อีกทั้งยื่นขอกู้ง่าย ไม่ยุ่งยาก และเงื่อนไขไม่จุกจิก หากท่านใดที่สนใจสามารถสมัครขอสินเชื่อได้ ที่นี่ หรือหากสนใจผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของกรุงไทยก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมจากกรุงไทยได้ที่ https://krungthai.com




6
การประหยัดภาษีเป็นเรื่องที่หลายคนให้ความสำคัญ แต่หลายครั้งก็อาจมองข้ามเทคนิคที่สามารถช่วยลดภาระภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงเทคนิคการประหยัดภาษีที่คุณอาจไม่เคยรู้จักมาก่อน เพื่อให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากกฎหมายภาษีได้อย่างเต็มที่

## 1. ใช้สิทธิประโยชน์จากการลงทุนในกองทุนรวม

การลงทุนในกองทุนรวมที่มีการส่งเสริมการลงทุน (RMF) หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (LTF) เป็นวิธีที่ดีในการประหยัดภาษี โดยคุณสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนเงินที่ลงทุน ซึ่งจะช่วยลดฐานภาษีของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ

### 1.1 กองทุน RMF

การลงทุนในกองทุน RMF สามารถหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 30% ของรายได้ประจำปี หรือสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีในการวางแผนการเงินในระยะยาว

### 1.2 กองทุน LTF

สำหรับกองทุน LTF คุณสามารถหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 15% ของรายได้ประจำปี หรือไม่เกิน 500,000 บาท โดยการลงทุนในกองทุนเหล่านี้จะช่วยให้คุณมีเงินออมในอนาคต

## 2. ใช้สิทธิประโยชน์จากการซื้อประกันชีวิต

การซื้อประกันชีวิตไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณมีความคุ้มครองในกรณีฉุกเฉิน แต่ยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการประหยัดภาษีได้อีกด้วย คุณสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ตามเบี้ยประกันที่จ่าย ซึ่งจะช่วยลดภาระภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

## 3. หักลดหย่อนค่าใช้จ่ายในการศึกษา

หากคุณมีบุตรหลานที่กำลังศึกษาอยู่ คุณสามารถหักลดหย่อนค่าใช้จ่ายในการศึกษาได้ โดยค่าใช้จ่ายที่สามารถหักลดหย่อนได้รวมถึงค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้คุณประหยัดภาษีได้มากขึ้น

## 4. ใช้สิทธิประโยชน์จากการบริจาคออนไลน์ e donation วัด

การบริจาคให้กับองค์กรการกุศลหรือมูลนิธิต่าง ๆ ไม่เพียงแต่ช่วยสังคม โอนเงินทำบุญออนไลน์ แต่ยังสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ โดยคุณสามารถหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 10% ของรายได้ประจำปี ซึ่งเป็นวิธีที่ดีในการช่วยเหลือผู้อื่นและประหยัดภาษีไปพร้อมกัน
## 5. วางแผนการเงินอย่างรอบคอบ

การวางแผนการเงินที่ดีจะช่วยให้คุณสามารถประหยัดภาษีได้มากขึ้น คุณควรทำการวิเคราะห์รายได้และค่าใช้จ่ายของคุณอย่างละเอียด เพื่อหาวิธีที่ดีที่สุดในการลดภาระภาษี

เทคนิคการประหยัดภาษีที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่คุณสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมหรือคำแนะนำในการวางแผนภาษี คุณอาจพิจารณาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะไม่พลาดโอกาสในการประหยัดภาษีที่มีอยู่

อย่าลืมติดตามข่าวสารและอัปเดตเกี่ยวกับกฎหมายภาษีเพื่อให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ได้อย่างเต็มที่!



7


   ปัจจุบันการทำ ประกันโรคร้ายแรง ถือเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงทั้งกลุ่มพนักงานเอกชนและข้าราชการ เพราะสุขภาพนั้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ถึงต่อให้ดูแลสุขภาพตัวเองดีแค่ไหน แต่เราก็ไม่สามารถควบคุมปัจจัยภายนอก เช่น มลพิษ สารพิษตกค้างในอาหาร ดังนั้นหลาย ๆ คนจึงเลือกที่จะทำ ประกันโรคร้าย เอาไว้เผื่อในอนาคตเกิดอะไรขึ้นมา อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย แต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าประกันที่ครอบคลุมโรคร้ายแรงนี้แตกต่างจาก ประกันชีวิตสุขภาพ ทั่วไปอย่างไร ? วันนี้เราจะมาเฉลยให้ได้รู้กัน

ประกันโรคร้ายแรงคืออะไร ?
    สำหรับ ประกันโรคร้าย ถือเป็นประกันสุขภาพประเภทหนึ่งที่เน้นให้ความคุ้มครองโรคร้ายแรงโดยเฉพาะ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขกรมธรรม์แต่ละฉบับว่าคุ้มครองโรคใดบ้าง โดยประกันประเภทนี้ส่วนใหญ่จะมีวงเงินคุ้มครองค่อนข้างสูง สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งค่าหมอ ค่าห้องพัก ค่ายา และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อย่างครบถ้วน เพราะโรคร้ายแรงส่วนใหญ่มีค่ารักษาที่ค่อนข้างสูงและจำเป็นต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ตลอดจนเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย แต่ส่วนใหญ่ค่าเบี้ยประกันจะไม่แพง บางกรณีถูกกว่า ประกันสุขภาพ เหมาจ่ายด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้ประกันแบบโรคร้ายแรงจึงตอบโจทย์กับคนที่มีความกังวลเรื่องอนาคต กลัวว่าจะเจ็บป่วยเมื่ออายุมากขึ้น หากไม่รีบทำประกันที่ครอบคลุมโรคร้ายแรงไว้แต่เนิ่น ๆ ก็อาจจะไม่มีเงินรักษาตัวยามเจ็บป่วย

ประกันโรคร้ายแรงต่างจากประกันสุขภาพทั่วไปอย่างไร ?
เนื่องจาก ประกันโรคร้ายแรง มีลักษณะความคุ้มครองบางด้านที่คล้ายคลึงกับ ประกันสุขภาพ แบบเหมาจ่าย ทำให้หลายคนมักจะสับสนกับประกันทั้ง 2 ประเภทนี้ โดยประกันโรคแบบร้ายแรงจะให้ความคุ้มครองเฉพาะโรคร้ายแรงที่ระบุไว้ในกรมธรรม์เท่านั้น ในกรณีที่ตรวจพบโรคร้ายแรงบริษัทประกันมักจะจ่ายรักษาพยาบาลเป็นเงินก้อนใหญ่ทีเดียว โดยจะจ่ายให้ผู้เอาประกันโดยตรง ขณะที่ ประกันชีวิตสุขภาพ แบบเหมาจ่ายนั้นจะให้ความคุ้มครองโรคเกือบทุกโรค ไม่ว่าจะโรคร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรง ค่ารักษาพยาบาลเหมาจ่ายตามจริง ภายใต้วงเงินตามแผนประกันที่เลือก โดยบริษัทประกันจะจ่ายให้กับโรงพยาบาลเท่านั้น

จุดเด่นของประกันโรคร้ายแรง
   เมื่อทราบกันแล้วว่า ประกันโรคร้าย แตกต่างจาก ประกันสุขภาพ ทั่วไปอย่างไร ลำดับต่อไปเราลองไปดูจุดเด่นของประกันโรคแบบร้ายแรงกันบ้าง
ได้รับเบี้ยประกันคืน
   หากคุณทำประกันโรคร้ายแรงแล้วไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงจนหมดสัญญา คุณจะได้รับเบี้ยประกันคืน ส่วนจะเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับแผนประกันที่เลือก
ไม่ต้องตรวจสุขภาพ
   ส่วนใหญ่แล้วประกันโรคร้ายแรงไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพ เพียงแค่ตอบคำถามสุขภาพเท่านั้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับแผนประกันที่เลือก
เริ่มทำได้ตั้งแต่เกิด ประกันสุขภาพเด็ก    สามารถทำประกันได้ตั้งแต่อายุ 1 วัน ไปจนถึงอายุ 70 - 75 ปี (แล้วแต่บริษัท) ส่วนใหญ่แล้วหากทำตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ ค่าเบี้ยประกันก็จะยิ่งถูก
รับเงินก้อนทันทีที่เจอโรค
   ในกรณีที่ตรวจเจอโรคร้ายแรงตามที่ระบุไว้ในสัญญา บริษัทจะจ่ายเงินก้อนให้ทันที ทำให้เราสามารถบริหารค่ารักษาพยาบาลเองได้แบบ 100%
   
ทั้งหมดนี้คือสาระความรู้เกี่ยวกับ ประกันโรคร้ายแรง ที่เรานำมาประกันเด็ก
กันในวันนี้ จะเห็นได้ว่าเป็นประกันที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มักห่วงกังวลเรื่องอนาคต กลัวว่าจะเจ็บป่วยร้ายแรงเมื่ออายุมากขึ้น หากใครมีความกังวลในเรื่องนี้ การทำประกันโรคร้ายแรงก็จะช่วยบรรเทาความกังวลของคุณได้




8


การเลือกฝากเงินในบัญชีเงินฝากประจำเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคงทางการเงิน โดยเฉพาะในยุคที่อัตราดอกเบี้ยมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ในบทความนี้เราจะมาพูดถึงการเปรียบเทียบระยะเวลาฝากประจํา 12 เดือนและ 24 เดือน แบบไม่มีแบรนด์ เพื่อช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล

ความหมายของบัญชีฝากประจำ

บัญชีฝากประจำคือบัญชีที่ผู้ฝากเงินจะต้องฝากเงินไว้เป็นระยะเวลาที่กำหนด โดยมักจะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป ซึ่งผู้ฝากจะไม่สามารถถอนเงินออกมาได้จนกว่าจะครบกำหนดระยะเวลา

เปรียบเทียบระยะเวลา 12 เดือน กับ 24 เดือน

 1. อัตราดอกเบี้ย

โดยทั่วไปแล้วบัญชีฝากประจำระยะเวลา 24 เดือนจะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าบัญชีระยะเวลา 12 เดือน เนื่องจากธนาคารต้องการดึงดูดผู้ฝากเงินให้อยู่กับธนาคารนานขึ้น การเลือกฝากระยะยาวจึงอาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในระยะยาว

 2. ความยืดหยุ่นในการถอนเงิน

บัญชีฝากประจำระยะเวลา 12 เดือนมีความยืดหยุ่นมากกว่า เนื่องจากคุณสามารถถอนเงินได้ในระยะเวลาที่สั้นกว่า ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่แน่ใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเงินในอนาคต ในขณะที่บัญชีระยะเวลา 24 เดือนจะมีข้อจำกัดในการถอนเงินมากกว่า

 3. ความเสี่ยงและความมั่นคง

การฝากเงินในบัญชีฝากประจำถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เนื่องจากเงินฝากจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม หากคุณเลือกฝากระยะยาว อาจมีความเสี่ยงในเรื่องของอัตราดอกเบี้ยที่อาจไม่สามารถแข่งขันได้ในอนาคต

ข้อดีและข้อเสียของแต่ละระยะเวลา

 ข้อดีของการฝากประจำ 12 เดือน

- ความยืดหยุ่น: สามารถถอนเงินได้เร็วกว่า
- อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงแข่งขันได้: แม้จะต่ำกว่า 24 เดือน แต่ยังคงดีกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป

 ข้อเสียของการฝากประจำ 12 เดือน

- อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า: เมื่อเปรียบเทียบกับระยะเวลา 24 เดือน

 ข้อดีของการฝากประจำ 24 เดือน

- อัตราดอกเบี้ยสูงกว่า: ทำให้ได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น
- การวางแผนการเงินระยะยาว: เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผนการเงินที่ชัดเจน

 ข้อเสียของการฝากประจำ 24 เดือน

- ความยากลำบากในการถอนเงิน: หากมีเหตุฉุกเฉินจะไม่สามารถเข้าถึงเงินได้ทันที

การเลือกเปิดบัญชีเงินฝากประจํา 12 เดือนหรือ 24 เดือนนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการและสถานการณ์ทางการเงินของแต่ละบุคคล หากคุณต้องการความยืดหยุ่นและไม่ต้องการผูกพันกับเงินนานเกินไป การฝากประจำ 12 เดือนอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แต่ถ้าคุณมีแผนการเงินที่ชัดเจนและต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น การฝากประจำ 24 เดือนอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า

หากคุณกำลังพิจารณาการเปิดบัญชีเงินฝาก ควรศึกษาข้อมูลจากหลายแหล่งและเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ย รวมถึงเงื่อนไขต่างๆ เพื่อให้คุณสามารถทำการตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและเหมาะสมกับความต้องการของคุณมากที่สุด

อย่าลืมติดตามข่าวสารและข้อมูลการเงินที่อัปเดตอยู่เสมอ เพื่อให้คุณสามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ!


9
เชื่อว่าคนที่กำลังทำธุรกิจอยู่แล้วนอกจาก สินเชื่อธุรกิจขนาดเล็ก สินเชื่อขนาดกลาง สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่สินเชื่อระยะยาว  สินเชื่อธุรกิจsmeไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือ สินเชื่อ od ดอกเบี้ย od แล้ว มั่นใจว่าส่วนใหญ่ต้องเคยได้ยินคำว่า หนังสือค้ำประกัน หรือหนังสือสัญญาค้ำประกันคู่สัญญา (Letter of Guarantee: LG) จากสถาบันการเงินกันมาบ้าง เนื่องจากเป็นหนังสือรับรองที่ทางสถาบันการเงินออกให้กับบริษัทต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการทำสัญญากับคู่ค้าทางธุรกิจของตนเอง โดยสามารถใช้ทำสัญญาการค้าได้ทั้งหน่วยงานรัฐบาลและภาคเอกชน อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่ยังไม่ได้เริ่มต้นธุรกิจอาจไม่เข้าใจว่าหนังสือค้ำประกันจากสถาบันการเงินนั้นมีประโยชน์และถ้าต้องการนำมาใช้ประโยชน์ในธุรกิจของตัวเองนั้นต้องทำอย่างไรบ้าง เพราะฉะนั้นวันนี้เรามีคำตอบเกี่ยวกับหนังสือฉบับนี้มาฝาก แต่จะมีเรื่องไหนน่าสนใจบ้างนั้นมาดูกันเลย

ทำไมต้องใช้หนังสือค้ำประกัน
   สำหรับเหตุผลที่เจ้าของธุรกิจต้องขอหนังสือรับรองค้ำประกันนั้นก็เป็นเพราะหนังสือรับรองค้ำประกันจะทำหน้าที่เสมือนหลักฐานค้ำประกันเพื่อการันตีกับคู่สัญญาว่าบริษัทที่ถือหนังสือรับรองค้ำประกันหรือลูกค้าของสถาบันการเงินจะปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาการค้า แต่หากเกิดกรณีผิดเงื่อนไขของสัญญาขึ้นทางสถาบันการเงินจะเป็นผู้รับผิดชอบแทน โดยหนังสือฉบับนี้สามารถใช้ในการค้ำประกันสัญญาได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นสัญญาว่าจ้าง สัญญาสั่งซื้อขายสินค้า สัญญาค้ำประกันค่าน้ำค่าไฟ หรือใช้ค้ำประกันเพื่อยื่นซองประมูลราคากับหน่วยงานรัฐ

ประโยชน์ของหนังสือค้ำประกัน
   ซึ่งจากความหมายของหนังสือรับรองค้ำประกันทำให้ประโยชน์หลัก ๆ ของหนังสือฉบับนี้ก็หนีไม่พ้นเรื่องการเพิ่มความน่าเชื่อถือเพราะเป็นการยืนยันกับคู่สัญญาว่าจะมีผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดจากการผิดสัญญา โดยเฉพาะการทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐที่ส่วนใหญ่แล้วจะถูกกำหนดให้เป็นเอกสารสำคัญที่ต้องประกอบการทำสัญญาด้วย นอกจากนั้นยังถือว่าช่วยเพิ่มความสะดวกในขั้นตอนการทำสัญญาด้วยหนังสือรับรองค้ำประกันสามารถใช้แทนหลักทรัพย์ค้ำประกัน อย่างเงินสด พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่บุคคลค้ำประกัน ทำให้การทำสัญญารวดเร็วขึ้นหลายเท่า

ขั้นตอนในการขอหนังสือค้ำประกัน
   ในขั้นตอนการขอหนังสือรับรองค้ำประกันจากสถาบันการเงินนั้นปัจจุบันหลาย ๆ ธนาคารสามารถยื่นขอได้ทั้งแบบออนไลน์และเดินเข้าไปติดต่อกับสถาบันการเงินได้โดยตรง โดยสามารถขอได้ทั้งบุคคลและนิติบุคคล  ส่วนขั้นตอนและเอกสารที่ใช้จะคล้ายกับการขอสินเชื่อธุรกิจทั่วไป อย่าง สินเชื่อ sme ไม่มีหลักทรัพย์ หรือ สินเชื่อsmeดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งนอกจากเอกสารส่วนตัวและเอกสารทางการเงินของบุคคลและนิติบุคคลแล้ว แนะนำว่าควรเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับจุดประสงค์ของการค้ำประกัน เช่น เอกสารประกวดราคา หนังสือจัดซื้อ หนังสือจัดจ้าง ใบสั่งสินค้า เพราะทางสถาบันการเงินต้องระบุประเภทของการค้ำประกันด้วย

   เป็นอย่างไรบ้างสำหรับข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับ หนังสือค้ำประกัน ที่เรานำมาฝากในวันนี้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นเอกสารที่มีประโยชน์มากในการทำธุรกิจ ดังนั้นถ้าอยากให้การทำสัญญากับคู่ค้าทางธุรกิจเป็นไปอย่างรวดเร็ว แนะนำว่าควรศึกษาขั้นตอนการดำเนินการขอหนังสือรับรองค้ำประกันอย่างละเอียด รับประกันว่าได้ประโยชน์และราบรื่นอย่างที่หวังแน่นอน





10

 การกู้เงินเป็นเรื่องที่หลายคนมักจะมีความกังวลและมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว การกู้เงินสามารถเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ หากเรามีการวางแผนที่ดีและเลือกแหล่งกู้ที่เหมาะสมกับตัวเอง ในบทความนี้เราจะพูดถึงวิธีการกู้เงินอย่างชาญฉลาดที่สามารถช่วยให้คุณมีการเงินที่มั่นคงมากยิ่งขึ้น

ทำความเข้าใจกับการกู้เงิน

การกู้เงินคือการยืมเงินจากแหล่งต่างๆ เช่น ธนาคาร สถาบันการเงิน หรือบุคคลทั่วไป โดยมักจะมีการกำหนดดอกเบี้ยและระยะเวลาการชำระคืน การกู้เงินสามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย เช่น การซื้อบ้าน การลงทุนในธุรกิจ หรือการศึกษาต่อ

ประโยชน์ของเงินกู้
1. การลงทุนในอนาคต: การกู้เงินเพื่อการศึกษา หรือการลงทุนในธุรกิจสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงในอนาคต
2. การจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉิน: การมีเงินกู้ในยามฉุกเฉินสามารถช่วยให้คุณมีความมั่นคงทางการเงิน
3. การสร้างเครดิต: การกู้เงินแล้วชำระคืนตามกำหนดสามารถช่วยสร้างประวัติการเงินที่ดี ซึ่งมีผลต่อการขอสินเชื่อในอนาคต

วิธีการวางแผนการกู้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ

 1. ประเมินความต้องการและวัตถุประสงค์

ก่อนที่คุณจะตัดสินใจกู้เงิน ควรตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ทำไมฉันถึงต้องการกู้เงิน?” การมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณเลือกแหล่งกู้ที่เหมาะสม

 2. ศึกษาแหล่งกู้ที่มีอยู่

มีแหล่งกู้เงินหลากหลาย เช่น ธนาคาร สถาบันการเงิน หรือการกู้เงินออนไลน์ ควรเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขการชำระคืน เพื่อเลือกแหล่งกู้ที่มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณ

 3. คำนวณความสามารถในการชำระคืน

การคำนวณความสามารถในการชำระคืนเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณสามารถชำระเงินคืนได้ตามกำหนด โดยควรพิจารณารายได้และค่าใช้จ่ายประจำเดือน

 4. อ่านเงื่อนไขและข้อกำหนดอย่างละเอียด

ก่อนที่จะลงนามในสัญญากู้เงิน ควรอ่านเงื่อนไขและข้อกำหนดอย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

การกู้เงินไม่ใช่เรื่องผิด หากคุณมีการวางแผนที่ดีและเลือกแหล่งกู้ที่เหมาะสม การทำความเข้าใจเกี่ยวกับการกู้เงินและการจัดการการเงินอย่างมีระเบียบจะช่วยให้คุณใช้เงินกู้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสร้างอนาคตทางการเงินที่มั่นคง
หากคุณกำลังพิจารณากู้เงิน อย่าลืมใช้วิธีการที่ได้กล่าวถึงในบทความนี้ เพื่อให้การกู้เงินของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย

หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกู้เงินและการวางแผนการเงิน สามารถติดตามบทความและแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพื่อเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจในเรื่องนี้ให้มากขึ้น



11


การกู้เงินเป็นเรื่องที่หลายคนมักจะมีความกังวลและมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว การกู้เงินสามารถเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ หากเรามีการวางแผนที่ดีและเลือกแหล่งกู้ที่เหมาะสมกับตัวเอง ในบทความนี้เราจะพูดถึงวิธีการกู้เงินอย่างชาญฉลาดที่สามารถช่วยให้คุณมีการเงินที่มั่นคงมากยิ่งขึ้น

 ทำความเข้าใจกับการกู้เงิน
การกู้เงินคือการยืมเงินจากแหล่งต่างๆ เช่น ธนาคาร สถาบันการเงิน หรือบุคคลทั่วไป โดยมักจะมีการกำหนดดอกเบี้ยและระยะเวลาการชำระคืน การกู้เงินสามารถใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย เช่น การซื้อบ้าน การลงทุนในธุรกิจ หรือการศึกษาต่อ

 ประโยชน์ของเงินกู้
1. การลงทุนในอนาคต: การกู้เงินเพื่อการศึกษา หรือการลงทุนในธุรกิจสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงในอนาคต
2. การจัดการกับสถานการณ์ฉุกเฉิน: การมีเงินกู้ในยามฉุกเฉินสามารถช่วยให้คุณมีความมั่นคงทางการเงิน
3. การสร้างเครดิต: การกู้เงินแล้วชำระคืนตามกำหนดสามารถช่วยสร้างประวัติการเงินที่ดี ซึ่งมีผลต่อการขอสินเชื่อในอนาคต

 วิธีการวางแผนการกู้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ

 1. ประเมินความต้องการและวัตถุประสงค์

ก่อนที่คุณจะตัดสินใจกู้เงิน ควรตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ทำไมฉันถึงต้องการกู้เงิน?” การมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณเลือกแหล่งกู้ที่เหมาะสม

 2. ศึกษาแหล่งกู้ที่มีอยู่

มีแหล่งกู้เงินหลากหลาย เช่น ธนาคาร สถาบันการเงิน หรือการกู้เงินออนไลน์ ควรเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขการชำระคืน เพื่อเลือกแหล่งกู้ที่มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ของคุณ

 3. คำนวณความสามารถในการชำระคืน

การคำนวณความสามารถในการชำระคืนเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณสามารถชำระเงินคืนได้ตามกำหนด โดยควรพิจารณารายได้และค่าใช้จ่ายประจำเดือน

 4. อ่านเงื่อนไขและข้อกำหนดอย่างละเอียด

ก่อนที่จะลงนามในสัญญากู้เงิน ควรอ่านเงื่อนไขและข้อกำหนดอย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

การกู้เงินไม่ใช่เรื่องผิด หากคุณมีการวางแผนที่ดีและเลือกแหล่งกู้ที่เหมาะสม การทำความเข้าใจเกี่ยวกับการกู้เงินและการจัดการการเงินอย่างมีระเบียบจะช่วยให้คุณใช้เงินกู้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสร้างอนาคตทางการเงินที่มั่นคง

หากคุณกำลังพิจารณากู้เงิน อย่าลืมใช้วิธีการที่ได้กล่าวถึงในบทความนี้ เพื่อให้การกู้เงินของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย

หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกู้เงินและการวางแผนการเงิน สามารถติดตามบทความและแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เพื่อเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจในเรื่องนี้ให้มากขึ้น


12
การลดหย่อนภาษีเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้ผู้เสียภาษีสามารถลดภาระภาษีที่ต้องจ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในปี 2568 นี้ หลายคนอาจมีคำถามเกี่ยวกับการลดหย่อนภาษีที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้คุณเข้าใจและสามารถใช้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีได้อย่างเต็มที่ บทความนี้จะตอบคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการลดหย่อนภาษีในปีนี้

## 1. การลดหย่อนภาษีคืออะไร?

การลดหย่อนภาษีคือการอนุญาตให้ผู้เสียภาษีสามารถหักค่าใช้จ่ายบางอย่างออกจากรายได้ที่ต้องเสียภาษี ซึ่งจะช่วยลดจำนวนเงินที่ต้องจ่ายภาษีในปีนั้น ๆ โดยทั่วไปแล้ว การลดหย่อนภาษีจะมีหลายประเภท เช่น ค่าใช้จ่ายในการศึกษา การบริจาค การประกันชีวิต และค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล

## 2. ใครสามารถขอลดหย่อนภาษีได้บ้าง?

ผู้ที่สามารถขอลดหย่อนภาษีได้ ได้แก่ บุคคลธรรมดาที่มีรายได้จากการทำงานหรือกิจการต่าง ๆ รวมถึงผู้ที่มีรายได้จากการลงทุน อย่างไรก็ตาม การลดหย่อนภาษีจะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดโดยกรมสรรพากร

## 3. ลดหย่อนภาษีปี 2568 มีอะไรใหม่บ้าง? e donation ลดหย่อนภาษี
ในปี 2568 นี้ มีการปรับปรุงกฎเกณฑ์การลดหย่อนภาษีหลายประการ เช่น การเพิ่มวงเงินการลดหย่อนสำหรับค่าใช้จ่ายในการศึกษาและการบริจาคให้กับองค์กรการกุศลและบริจาคออนไลน์ e donation นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนการลงทุนในธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยให้ผู้เสียภาษีสามารถลดภาษีได้มากขึ้น

## 4. เอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับการขอลดหย่อนภาษีคืออะไร?

การขอลดหย่อนภาษีจะต้องมีเอกสารที่แสดงหลักฐานการใช้จ่าย เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบรับรองการบริจาค และเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยควรจัดเตรียมเอกสารเหล่านี้ให้ครบถ้วนเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

## 5. วิธีการยื่นขอลดหย่อนภาษีทำอย่างไร?

การยื่นขอลดหย่อนภาษีสามารถทำได้หลายช่องทาง ได้แก่ การยื่นแบบฟอร์มภาษีผ่านเว็บไซต์ของกรมสรรพากร หรือการยื่นแบบฟอร์มด้วยตนเองที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ โดยควรตรวจสอบระยะเวลาการยื่นภาษีให้ถูกต้องเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสในการลดหย่อนภาษี

## 6. คำแนะนำในการวางแผนลดหย่อนภาษี

การวางแผนลดหย่อนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้คุณสามารถลดภาษีได้มากขึ้น ควรเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบค่าใช้จ่ายที่สามารถลดหย่อนได้ และจัดทำงบประมาณการใช้จ่ายในปีถัดไปอย่างรอบคอบ นอกจากนี้ การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี

การลดหย่อนภาษีในปี 2568 เป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้เสียภาษีในการลดภาระภาษีที่ต้องจ่าย การเข้าใจคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการลดหย่อนภาษีจะช่วยให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากสิทธิประโยชน์นี้ได้อย่างเต็มที่ หากคุณมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลดหย่อนภาษี ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุด
ระบบ e-donation https://krungthai.com/th/personal/cash-management/ktb-promptpay/600




13

            แน่นอนว่าทุกคนอยากมี “สุขภาพดี” ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ เพราะสุขภาพที่ดีจะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกด้าน ไม่ต้องเสียเวลาไปหาหมอและเหนื่อยกินยาเป็นกำมือทุกวัน อีกทั้งยังประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากการใช้ชีวิตที่ต้องเร่งรีบในทุกวัน ทำให้ไม่มีเวลาแม้กระทั่งเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายคนจะสุขภาพแย่ลงหรือถึงขั้นเป็นโรคประจำตัว อย่างโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเส้นเลือดในสมองตีบ โรคเรื้อรังยอดฮิตที่ผู้ป่วยต้องไปหาแพทย์เป็นประจำเพื่อประเมินอาการและรับยาประจำ ซึ่งสิ่งที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ค่ารักษาพยาบาล โดยแม้คนไทยส่วนใหญ่จะมีสิทธิ์ประกันสุขภาพถ้วนหน้าหรือสิทธิ์ประกันสุขภาพตามอาชีพอยู่แล้ว แต่ก็มีเงื่อนไขหลายอย่างที่ทำให้เข้าถึงการรักษาล่าช้า ไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดเรื่องโรงพยาบาล ค่ารักษาพยาบาล และที่สำคัญต้องไปรอคิวเสียเวลาทั้งวัน ด้วยเหตุนี้ 
ประกันสุขภาพเหมาจ่าย จึงเป็นตัวช่วยคลายกังวลด้านสุขภาพที่ได้รับความนิยมมากขึ้น

ประกันสุขภาพเหมาจ่ายคืออะไร ทำไมถึงได้รับความนิยม

   ประกันสุขภาพเหมาจ่าย คือ ประกันสุขภาพ แบบจ่ายรายปี ซึ่งให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลครอบคลุมทั้งกรณีเจ็บป่วยและอุบัติเหตุ  นอกจากนั้นมีสิทธิพิเศษเพิ่มอื่น ๆ ตามที่ระบุไว้ ซึ่งวงเงินค่าเบี้ยประกัน ค่ารักษาพยาบาล และเงินชดเชยต่าง ๆ จะแตกต่างกันตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ สำหรับความคุ้มครองของประกันประเภทนี้ครอบคลุมค่าใช้จ่าย ดังนี้
ความคุ้มครองในฐานะผู้ป่วยใน
การเข้ารับการรักษาในฐานะผู้ป่วยในหรือ In-Patient Department หมายถึงผู้เข้าพักการรักษาตัวตามคำสั่งแพทย์อย่างน้อย 6 ชั่วโมง ส่วนใหญ่ผู้ป่วยในจึงเป็นผู้ป่วยหนักที่ต้องนอนดูอาการและรับการรักษาต่อเนื่อง ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงตามไปด้วย แต่หากทำประกันแบบเหมาจ่าย นอกจากค่ารักษาพยาบาลที่ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาล ค่าผ่าตัด ค่าหัตถการ ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ และค่าบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาแล้ว ประกันยังรับผิดชอบในส่วนของค่าห้องพักคนไข้และค่าอาหารด้วย เพราะฉะนั้นต่อให้นอนนานแค่ไหนก็ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาล
ความคุ้มครองในฐานะผู้ป่วยนอก
การเข้ารับการรักษาในฐานะผู้ป่วยนอก หรือ Out-Patient Department จะเป็นเพียงการเข้ารับการรักษาในระยะสั้น ไม่ต้องนอนพักติดตามอาการในระยะยาว ส่วนใหญ่เป็นเพียงการวินิจฉัยอาการป่วย พบแพทย์เพื่อรักษาพยาบาล หรือรักษาอาการบาดเจ็บเล็กน้อย อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นการรักษาที่จบการรักษาภายในวันเดียว แต่หากต้องเข้ารับการรักษาด้วยเทคนิคที่มีค่าใช้จ่ายสูงหรือถูกวินิจฉัยด้วยโรคเรื้อรัง สุดท้ายก็ต้องมารักษาตัวอีกหลายครั้ง ซึ่งทุกครั้งย่อมมีค่าใช้จ่ายตามมา การทำประกันแบบเหมาจ่ายที่ให้ความคุ้มครองกรณีผู้ป่วยนอก จึงช่วยลดความกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลมากขึ้น เพราะไม่ต้องควักกระเป๋าจ่ายทุกครั้ง อีกทั้งหลาย ๆ กรมธรรม์ยังรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนของการกายภาพบำบัดและการรักษาโดยแพทย์ทางเลือกด้วย
ความคุ้มครองการฟื้นฟูสุขภาพหลังการเจ็บป่วย
ย่อมดีกว่าถ้าไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย เพราะอาการเจ็บป่วยอย่างอาการอัมพฤกษ์อัมพาต อาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุหนัก หรือโรคเรื้อรังที่ต้องรักษาอาการแบบประคับประคอง ต้องเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการทำประกันแบบเหมาจ่ายจะรับให้ความคุ้มครองทั้งค่าใช้จ่ายในการใช้เครื่องมือในการลดอาการเจ็บป่วย ยาลดอาการข้างเคียง และค่าใช้จ่ายเกี่ยวข้องกับการจ้างบุคลากรปรับพฤติกรรม

ตัวอย่างแผนประกันสุขภาพเหมาจ่าย iHealthy Ultra ให้ความคุ้มครองสูงถึง 100 ล้าน
   สำหรับคนที่กำลังมองหาประกันที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทั้งสุขภาพ อุบัติเหตุและวงเงินสูง ช่วยลดความกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลเมื่อเข้ารับการรักษาพยาบาลในฐานะผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก ยังเป็นกังวลว่าประกันแบบเหมาจ่ายจะดีจริงหรือ เรามีตัวอย่างประกันสุขภาพเหมาจ่าย iHealthy Ultra จากกรุงไทย ประกันสุขภาพ ที่มาพร้อมสิทธิพิเศษมากมาย ดังต่อไปนี้
มาพร้อมประกันให้เลือกมากถึง 6 แผน
เพื่อตอบโจทย์ความต้องการด้านสุขภาพที่แตกต่างกันของผู้ทำประกัน ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย iHealthy Ultra จึงมีให้เลือกถึง 6 แผน ได้แก่
แผนสมาร์ทความคุ้มครอง 3 ล้านบาท
แผนบรอนซ์ความคุ้มครอง 10 ล้านบาท
แผนซิลเวอร์ความคุ้มครอง 15 ล้านบาท
แผนโกลด์ความคุ้มครอง 25 ล้านบาท 
แผนไดมอนด์ความคุ้มครอง 70 ล้านบาท
แผนแพลทินัมให้ความคุ้มครองสูงสุด 100 ล้านบาท
ซึ่งทำให้ผู้สนใจทำประกันมีตัวเลือกที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และค่าใช้จ่ายมากขึ้น
ครอบคลุมค่ารักษาพยาบาลหลากหลาย
เหตุผลที่หลายคนตัดสินใจทำประกัน เพราะต้องการลดค่าใช้จ่ายเมื่อต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล ซึ่งประกันสุขภาพเหมาจ่าย iHealthy Ultra จัดเต็มในเรื่องเช่นกัน เพราะให้ความคุ้มครองมากมาย ไม่ว่าจะเป็นค่าผ่าตัด ค่าล้างไต ค่าเคมีบำบัด การรักษาด้านสุขภาพจิต การรักษาด้วยแพทย์ทางเลือก ค่าตรวจสุขภาพ ค่าวัคซีน ค่าคลอด ค่าห้องพัก และค่าอาหาร ดังนั้นไม่ว่าจะเข้ารับการรักษาในฐานะผู้ป่วยในหรือผู้ป่วยนอกก็หมดกังวลไปได้เลย


   จะเห็นว่า ประกันสุขภาพเหมาจ่าย เป็นประกันที่น่าสนใจและเหมาะกับทุกคนด้วยความคุ้มครองที่เหนือกว่า แต่นอกจากประกันประเภทนี้แล้วทางกรุงไทยยังมีประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลอื่นที่น่าสนใจอีกเช่นกัน อย่างประกันสุขภาพประกันโรคร้ายแรง ประกันเด็ก ประกันสุขภาพเด็ก และอุบัติเหตุส่วนบุคคล Health DIY แต่ทั้งนี้ก่อนตัดสินใจแนะนำว่าผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง โดยผลประโยชน์ความคุ้มครองและข้อยกเว้นเป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ โปรดศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมในกรมธรรม์ โดยสามารถเข้าไปดูประกันสุขภาพที่น่าสนใจเพิ่มเติมจาก กรุงไทย ได้ที่ https://krungthai.com/th/personal/insurance/health


14



การออมเงินเป็นหนึ่งในวิธีการบริหารจัดการการเงินที่สำคัญ โดยเฉพาะในยุคที่อัตราเงินเฟ้อสูงและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ การเลือกบัญชีเงินฝากที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในบทความนี้เราจะมาทำการเปรียบเทียบการคิดดอกเบี้ยเงินฝากระหว่างบัญชีฝากประจำและบัญชีออมทรัพย์ เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล

 1. ความหมายของบัญชีฝากประจำและบัญชีออมทรัพย์

 1.1 บัญชีฝากประจำ
บัญชีฝากประจำเป็นบัญชีที่ผู้ฝากเงินจะต้องฝากเงินเป็นระยะเวลาที่กำหนด โดยมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ และดอกเบี้ยจะถูกคำนวณจากยอดเงินที่ฝากไว้ตลอดระยะเวลาที่กำหนด

 1.2 บัญชีออมทรัพย์
บัญชีออมทรัพย์เป็นบัญชีที่ผู้ฝากสามารถฝากและถอนเงินได้ตามต้องการ โดยมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าบัญชีฝากประจำ แต่มีความยืดหยุ่นมากกว่าในการเข้าถึงเงิน

 2. การคิดดอกเบี้ย

 2.1 คิดดอกเบี้ยเงินฝากประจำ
อัตราดอกเบี้ยในบัญชีฝากประจำมักจะสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ โดยทั่วไปแล้วอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในช่วง 1.5% ถึง 3% ต่อปี ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ฝากและธนาคารที่ให้บริการ นอกจากนี้ ดอกเบี้ยจะถูกคำนวณในรูปแบบของดอกเบี้ยทบต้น ซึ่งหมายความว่าดอกเบี้ยที่ได้จะถูกนำไปคำนวณเป็นเงินต้นในรอบถัดไป

 2.2 ดอกเบี้ยในบัญชีออมทรัพย์
ในขณะที่บัญชีออมทรัพย์มีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า โดยทั่วไปอยู่ในช่วง 0.5% ถึง 1.5% ต่อปี ดอกเบี้ยจะถูกคำนวณจากยอดเงินที่มีในบัญชีในแต่ละวัน และจะถูกโอนเข้าบัญชีในช่วงสิ้นเดือน

 3. ข้อดีและข้อเสีย

 3.1 ข้อดีของบัญชีฝากประจำ
- อัตราดอกเบี้ยสูง: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงจากการออม
- การวางแผนการเงิน: ช่วยให้ผู้ฝากมีวินัยในการออมเงิน

 3.2 ข้อเสียของบัญชีฝากประจำ
- ไม่มีความยืดหยุ่น: ผู้ฝากไม่สามารถถอนเงินก่อนครบกำหนดได้โดยไม่มีค่าธรรมเนียม
- ข้อจำกัดในการฝาก: ต้องมีเงินฝากขั้นต่ำตามที่ธนาคารกำหนด

 3.3 ข้อดีของบัญชีออมทรัพย์
- ความยืดหยุ่นสูง: สามารถฝากและถอนเงินได้ตามต้องการ
- ไม่มีค่าธรรมเนียมถอนเงิน: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าถึงเงินสดได้ทันที

 3.4 ข้อเสียของบัญชีออมทรัพย์
- อัตราดอกเบี้ยต่ำ: ผลตอบแทนจากการออมเงินจะน้อยกว่าบัญชีฝากประจำ


การเลือกบัญชีฝากประจำหรือบัญชีออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูงขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และความต้องการทางการเงินของแต่ละบุคคล หากคุณต้องการผลตอบแทนที่สูงและสามารถฝากเงินเป็นระยะเวลานาน บัญชีฝากประจำอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า แต่หากคุณต้องการความยืดหยุ่นในการเข้าถึงเงิน บัญชีออมทรัพย์อาจเหมาะสมกว่า


หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบัญชีเงินฝาก หรือต้องการคำแนะนำในการเลือกบัญชีที่เหมาะสม สามารถติดต่อธนาคารหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินได้ เพื่อให้คุณสามารถวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ




15


หากถามคนรุ่นใหม่ที่โอนเงินไปต่างประเทศบ่อย ๆ ว่าต้องการผู้ให้บริการแบบไหน มั่นใจว่าคำตอบนั้นก็คงหนีไม่พ้นความปลอดภัย ใช้งานง่าย ขั้นตอนไม่ซับซ้อน และเงินถึงมือผู้รับในต่างประเทศอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้บริการ โอนเงินต่างประเทศwesternunion และ PayPal กลายเป็น 2 ผู้ให้บริการโอนเงินต่างประเทศที่ได้รับความนิยมมากในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพราะจุดเด่นในแต่ละค่ายสามารถตอบโจทย์ในทุกความต้องการได้อย่างอยู่หมัด แต่จุดเด่นของเจ้าไหนจะโดนใจคนรุ่นใหม่มากกว่านั้นมาดูกันเลย

บริการที่โดดเด่นของแต่ละเจ้า
สำหรับในด้านบริการนั้นต้องยอมรับว่าทั้งสองเจ้านั้นมีความโดดเด่นไม่แพ้กัน แต่ถ้าให้ชูจุดเด่นของแต่เจ้าก็คงต้องบอกว่า Western Union โดดเด่นในด้านบริการโอนเงินสกุลต่าง ๆ ตามที่ผู้ส่งระบุไปยังบุคคลหรือองค์กรที่อยู่ในต่างประเทศในรูปแบบของเงินสด ซึ่งผู้รับที่อยู่ในต่างประเทศสามารถ รับเงินwesternunionผ่านตู้atm โอนเข้าบัญชีธนาคาร หรือไปรับเป็นเงินสดที่สาขาตัวแทน Western Union ในประเทศนั้นได้  ในขณะที่ PayPal โดดเด่นในเรื่องบริการโอนจ่ายเงิน รับเงิน และชำระเงินผ่านระบบกระเป๋าเงิน PayPal ผูกบัญชี บัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต จึงเหมาะกับการชำระสินค้าให้กับร้านค้า E-commerce หรือบัญชีธุรกิจมากกว่า

ความน่าเชื่อถือ
ในด้านของความน่าเชื่อถือคงต้องบอกว่าผู้ให้บริการทั้งสองเจ้านั้นได้เครดิตในเรื่องนี้แบบ 100% เพราะนอกจากจะเป็นผู้ให้บริการที่มีประวัติการก่อตั้งมาอย่างยาวนาน ทำให้ได้รับความเชื่อถือจากผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก โดยขณะนี้ทาง Western Union ให้บริการครอบคลุมหลากหลายสกุลเงินใน 200 ประเทศ ซึ่งในประเทศไทยเองก็มีตัวแทนให้บริการมากกว่า 6,100 สาขา พร้อมคอยให้บริการและตอบคำถามทุกข้อที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น western union รับเงินภายในกี่วัน การลงทะเบียนใช้งาน หรือบริการรับเงินสด ส่วน PayPal นั้นขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัย นอกจากนั้นยังมีการรับประกันเงินคืนสูงสุด 20 ดอลลาร์ เมื่อมีปัญหาจากการโอนเงิน

ความสะดวกสบายในการใช้งาน
   อย่างที่คนเคยใช้งานทั้งสองผู้ให้บริการรู้กันดีอยู่แล้วว่าทั้ง 2 ผู้ให้บริการสามารถดำเนินการผ่านช่องทางออนไลน์และแอปพลิเคชันได้ อีกทั้งยังสามารถโอนเงินโดยหักจากบัญชีธนาคาร บัตรเครดิต บัตรเดบิตตลอด 24 ชั่วโมงได้เหมือนกัน แต่ในแง่ของการรับเงินด้วย Western Union มีตัวแทนมากกว่าจึงทำให้สามารถเดินทางไปรับเงินที่สาขาได้ทันทีเมื่อมีเงินเข้า ขณะที่ PayPal จะทำรายการผ่านช่องทางออนไลน์และรอให้เงินเข้ากระเป๋าเงิน PayPal และโอนเงินไปยังบัญชีธนาคารก่อนจึงจะสามารถถอนเงินออกมาใช้ได้
   
   เป็นอย่างไรบ้างสำหรับจุดเด่นระหว่าง โอนเงิน Western Union กับ PayPal ที่เรานำมาฝากในวันนี้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้ให้บริการทั้ง 2 เจ้านั้นแม้ว่าจะมีจุดเด่นและเหมาะกับการใช้บริการที่แตกต่างกัน แต่ไม่ว่าจะเลือกใช้บริการจาก  Western Union หรือ PayPal รับประกันเลยว่าปลอดภัยแน่นอน




หน้า: [1] 2 3 ... 8