head prakardsod






























































แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 49
1
อาการของโรคกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (Guillain-Barre syndrome)

กลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร (กลุ่มอาการกีแยง-บาร์เร ก็เรียก) เป็นโรคที่มีภาวะผิดปกติของประสาทส่วนปลาย (peripheral nerves) หลายเส้นทั่วร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการแขนขาอ่อนแรง เป็นอัมพาตแบบเฉียบพลัน ซึ่งมักพบหลังเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจหรือทางเดินอาหาร โดยไม่ทราบสาเหตุ 

โรคนี้นับว่าเป็นภาวะรุนแรง และอาจมีภาวะแทรกซ้อนเป็นอันตรายได้

พบได้ปีละประมาณ 1.2-3 คน ต่อประชากร 100,000 คน พบได้ในคนทุกวัย แต่จะพบบ่อยในกลุ่มอายุ 15-35 ปี และ 50-75 ปี และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 1.5 เท่า


สาเหตุ

เกิดจากปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง (autoimmune reaction) ต่อปลอกหุ้มเส้นประสาท (myelin sheath) ส่วนปลายหลายเส้นทั่วร่างกาย ทำให้เกิดอาการชาและกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่แขนขาและส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ซึ่งในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด

ประมาณร้อยละ 60-70 ของผู้ป่วยมักเกิดหลังการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสนับเป็นสัปดาห์ ที่พบบ่อยคือหลังเป็นโรคติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ รองลงมาคือ หลังเป็นโรคติดเชื้อของระบบทางเดินอาหาร 

เชื้อต้นเหตุที่พบบ่อย เช่น แคมไพโรแบกเตอร์เจจูนิ (Campylobacter jejuni)*, ไวรัสไซโตเมกาโล (cytomegalovirus), ไวรัสเอปสไตน์บาร์/อีบีวี (Epstein-Barr virus/EBV), ไวรัสไข้หวัดใหญ่, ไวรัสตับอักเสบ, ไวรัสโควิด19, ไวรัสชิคุนกุนยา, ไวรัสซิกา, เอชไอวี, เชื้อไมโคพลาสมานิวโมเนีย (Mycoplasma pneumonia)** เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังมีรายงานการพบผู้ป่วยโรคนี้หลังได้รับวัคซีนบางชนิด (วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า) หรือหลังได้รับการผ่าตัดบางอย่าง


*เชื้อชนิดนี้เป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการท้องเดินจาก โรคอาหารเป็นพิษจากเชื้อโรค เนื่องจากผู้ป่วยติดเชื้อชนิดนี้จากการกินอาหารที่ไม่ได้ปรุงสุก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื้อสัตว์ เป็ดไก่ 
**เชื้อชนิดนี้เป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นสาเหตุของ โรคปอดอักเสบ


อาการ

อาการมักเกิดหลังเป็นโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ (เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ) หรือทางเดินอาหาร (ท้องเดิน อาหารเป็นพิษ) ประมาณ 2-4 สัปดาห์ โดยมีอาการชาที่ปลายนิ้วมือหรือนิ้วเท้า และกล้ามเนื้ออ่อนแรงของแขนหรือขา

ส่วนใหญ่จะเริ่มมีอาการที่ปลายเท้าและขา ทำให้เดินเซ หรือเดินไม่ได้ ขึ้นบันไดไม่ได้ บางรายอาจเริ่มมีอาการที่ใบหน้าหรือแขนก่อน แล้วต่อมา (นับเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ) ก็จะลุกลามไปที่ร่างกาย แขนขา และกล้ามเนื้อแทบทุกส่วน ซึ่งอาจกลายเป็นอัมพาตรุนแรงทั่วร่างกายได้

ผู้ป่วยอาจมีอาการกล้ามเนื้อตาและใบหน้าอ่อนแรง มีอาการกลอกตาไม่ได้ มองเห็นภาพซ้อน พูดอ้อแอ้ เคี้ยวและกลืนลำบากร่วมด้วย 

บางรายอาจมีอาการปวดมากตามร่างกาย (เช่น บริเวณไหปลาร้า สะบัก หลัง ก้น ต้นขา) จะปวดมากเวลาเคลื่อนไหวร่างกาย และอาการอาจเป็นมากขึ้นตอนกลางคืน

บางรายอาจมีความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติ ทำให้มีอาการชีพจรเต้นเร็วหรือช้ากว่าปกติ หัวใจเต้นผิดจังหวะ ความดันโลหิตสูง หรือความดันตกในท่ายืน (ลุกขึ้นยืนจะมีอาการหน้ามืด เป็นลม) กลั้นปัสสาวะและอุจจาระไม่ได้ เป็นต้น

หากเป็นรุนแรง อาจทำให้กล้ามเนื้อหายใจเป็นอัมพาต หยุดหายใจ หรือหัวใจวาย เป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

โรคนี้มักมีอาการเปลี่ยนแปลงเร็ว อาการมักทรุดหนักได้ภายในไม่กี่วันหลังเริ่มมีอาการ และมักเป็นอยู่นานประมาณ 2-4 สัปดาห์


ภาวะแทรกซ้อน

ในรายที่เป็นรุนแรง ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตด้วยภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะหายใจลำบาก (เนื่องจากกล้ามเนื้อควบคุมการหายใจเป็นอัมพาต) ภาวะหัวใจวาย โรคติดเชื้อ (ปอดอักเสบ ภาวะโลหิตเป็นพิษ) เป็นต้น

ในรายที่เป็นอัมพาต นอนติดเตียงนาน ๆ นอกจากทำให้เป็นแผลกดทับแล้ว ยังอาจเกิด ภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือด ทำให้เกิดภาวะสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดแดงปอดแทรกซ้อนเป็นอันตรายได้               

บางรายอาจกลายเป็นอัมพาตหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรงเรื้อรัง หรือมีอาการชาหรือเสียวของแขนขาเรื้อรัง


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งมักตรวจพบอาการกล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรงหรือเป็นอัมพาต เดินไม่ได้ พูดอ้อแอ้ เคี้ยวลำบาก กลืนลำบาก กลอกตาไม่ได้

เมื่อใช้ค้อนยางเคาะดูรีเฟลกซ์ของข้อเข่าและข้อเท้าพบว่าลดลงหรือไม่มีเลย

อาจตรวจพบชีพจรเต้นเร็วหรือช้ากว่าปกติ หรือเต้นไม่เป็นจังหวะ ความดันโลหิตสูง หรือพบภาวะความดันตกในท่ายืน

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด ด้วยการตรวจพิเศษ เช่น การเจาะหลัง (lumbar puncture) การตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (electromyography/EMG) การตรวจการชักนำประสาท (nerve conduction study) การตรวจเลือด เอกซเรย์ปอด เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาลทุกราย แม้บางรายในช่วงแรกอาการจะดูเหมือนไม่หนัก แต่เนื่องจากโรคนี้อาจมีอาการรุนแรงขึ้นในเวลาต่อมาไม่นานได้ จึงต้องเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด 

แพทย์จะให้การรักษาตามอาการและแก้ไขภาวะแทรกซ้อน เช่น ให้ยาแก้ปวด ยาปฏิชีวนะรักษาโรคติดเชื้อ (เช่น ปอดอักเสบ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ) สารกันเลือดเป็นลิ่ม (anticoagulant สำหรับผู้ที่นอนติดเตียง เพื่อป้องกันการเกิดภาวะหลอดเลือดดำส่วนลึกมีลิ่มเลือด) การทำกายภาพบำบัด เป็นต้น

ในรายที่กล้ามเนื้อหายใจเป็นอัมพาต หายใจลำบาก แพทย์จำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ 

บางราย อาจต้องทำการถ่ายพลาสมา (plasmapheresis) หรือฉีดอิมมูนโกลบูลินเข้าหลอดเลือดดำ เพื่อกำจัดสารภูมิต้านทานที่เป็นตัวก่อโรค

ผลการรักษา ขึ้นกับความรุนแรงของโรค สภาพร่างกายของผู้ป่วย การได้รับการรักษาเร็วหรือช้า

ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีอาการทรุดลงเร็ว ผู้ที่ได้รับการรักษาช้า และผู้ที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจนาน มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงหรือเสียชีวิตสูง   

ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการจะดีขึ้นภายใน 2-4 สัปดาห์ แต่อาจต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงเป็นปกตินาน 6-12 เดือน บางรายอาจนานเป็นแรมปี

บางรายอาการอาจไม่หายขาด และมีความพิการอย่างถาวร

บางรายหลังจากอาการทุเลาดีนานเป็นแรมเดือนแรมปีแล้ว อาจมีอาการชาและกล้ามเนื้ออ่อนแรงกำเริบซ้ำในเวลาต่อมาได้

สำหรับเด็กและคนอายุน้อย มักจะฟื้นตัวได้ดีกว่าคนอายุมาก


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการชาที่นิ้วมือหรือนิ้วเท้า แขนหรือขาอ่อนแรง เดินลำบาก พูด เคี้ยวหรือกลืนลำบาก ซึ่งเกิดขึ้นเฉียบพลัน ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นกลุ่มอาการกิลแลง-บาร์เร ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    สงสัยอาการกำเริบหรือมีภาวะแทรกซ้อนตามมา เช่น มีอาการไข้ ชาตามนิ้วมือหรือนิ้วเท้า แขนขาอ่อนแรง เป็นต้น
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคนี้

ข้อแนะนำ

1. หลังจากหายจากโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ (เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ) หรือทางเดินอาหาร (เช่น ท้องเดิน อาหารเป็นพิษ) หากมีอาการสงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ เช่น มีอาการชาที่นิ้วมือหรือนิ้วเท้า แขนหรือขาอ่อนแรง ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว เนื่องจากแม้ระยะแรกอาการดูไม่รุนแรง แต่อาการจะทรุดหนักตามมาจนเป็นอัมพาตทั้งตัวได้ภายในไม่กี่วัน และเป็นอันตรายร้ายแรงได้

2. การไปปรึกษาแพทย์และได้รับการรักษาที่ถูกต้องแต่เนิ่น ๆ มีส่วนช่วยให้การรักษาได้ผลดี และลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้

3. ผู้ที่เป็นโรคนี้อาจต้องอยู่รักษาที่โรงพยาบาลนาน และเมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้วใช้เวลานานเป็นแรมเดือนแรมปีในการฟื้นฟูร่างกายให้หายเป็นปกติ ผู้ป่วยควรเรียนรู้ให้เข้าใจธรรมชาติของโรคและวิธีดูแลรักษา ควรปฏิบัติตัวและติดตามรักษากับแพทย์และทีมงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง

2
จัดฟันบางนา: วิธีป้องกันฟันเหลือง

หลายคนอยากมีบุคลิกภาพที่ดูดี นอกจากหน้าตา ผิวพรรณ และรูปร่างแล้ว รอยยิ้มที่สดใสก็เป็นส่วนประกอบสำคัญ และช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ สร้างความรู้สึกประทับใจให้กับผู้พบเห็น และหนึ่งในวิธีการเพิ่มความมั่นใจให้กับรอยยิ้มคือการมีฟันที่สีขาว ดูสะอาด แต่หลายคนกลับพบปัญหาสีฟันเหลือง หรือสีเทา บางคนเข้าใจว่าสาเหตุมาจากเนื้อฟันของมนุษย์ที่มีสีเหลืองอยู่แล้ว ซึ่งถึงแม้จะเป็นความจริง หากแต่มีอีกหลายสาเหตุที่ทำให้เกิดฟันเหลืองได้ ไม่ใช่ฟันเหลืองจากเนื้อแท้เพียงอย่างเดียว ปัญหาฟันเหลืองมักจะพบเห็นได้บ่อยในวัยทำงาน


เนื่องจากคนในวัยทำงานมีพฤติกรรมการติดกาแฟ ชา หรืออาจจะมีพฤติกรรมการสูบบุหรี่ในระหว่างวัน ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เอง เป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดฟันเหลือง และยิ่งถ้าหากทำความสะอาดฟันได้ไม่ดีด้วยแล้ว จะยิ่งทำให้เกิดฟันเหลืองได้ง่าย ซึ่งจะทำให้เสียบุคลิกภาพและไม่มีความมั่นใจเวลาที่ต้องยิ้ม ถึงแม้อาการฟันเหลืองจะพบได้บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่ควรละเลยในการทำความสะอาดและเข้าพบทันตแพทย์ เพราะอาการฟันเหลืองอาจเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนของโรคปริทันต์ นอกจากฟันเหลือง ยังมีอาการอื่นๆอีกที่ไม่ควรละเลย อาทิ ปวดฟัน ฟันโยก เสียวฟันจากน้ำเย็นและน้ำร้อน ฟันหลุด เป็นต้น สำหรับวันนี้ทางคลินิกเราจะมาแนะนำวิธีการป้องกันฟันเหลือง เพื่อให้ทุกคนได้ศึกษาเป็นแนวทางในการดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ก่อนอื่นต้องมาพูดถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดฟันเหลืองก่อน เพราะการหลีกเลี่ยงการเกิดฟันเหลืองย่อมดีกว่าการรักษามาก สาเหตุของการเกิดฟันเหลืองส่วนใหญ่มีพฤติกรรมมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารสีเข้ม ไม่ว่าจะเป็นสีน้ำตาล สีดำ เช่น ชา กาแฟ เฉาก๊วย ก๋วยเตี๋ยวน้ำตก หรือสีแดงส้ม เช่น ไวน์แดง แกงต่างๆ การรับประทานอาหารเหล่านี้ย่อมทำให้เกิดสีสะสมที่ฟันจนฟันเหลือง หรือสีเดียวกับอาหารที่เรารับประทานเข้าไป นอกจากนี้ หากมีการอุดฟันด้วยวัสดุสีเหมือนฟัน สีของอาหารสีเข้มและเขม่าควันบุหรี่จะเข้าสะสมที่วัสดุอุดได้ด้วยเช่นกัน และจะเห็นชัดเจนที่ขอบรอยต่อระหว่างวัสดุอุดกับฟัน


นอกจากนี้สาเหตุหลักๆอีกอย่างหนึ่งคือ พฤติกรรมการสูบบุหรี่ เพราะสารเคมีที่เกิดการเผาไหม้ของบุหรี่ โดยเฉพาะพวกที่มีส่วนประกอบของกำมะถันจะสะสมอยู่บนผิวฟัน และแทรกซึมเข้าไปในชั้นเนื้อฟัน ซึ่งสะสมได้เร็วมากและขูดออกได้ยากมาก นอกจากนี้ คราบบุหรี่จะสะสมรวมกับคราบจุลินทรีย์และแร่ธาตุในน้ำลาย เกิดเป็นคราบหินปูนตามขอบฟันและเหงือก จนเป็นสีเทาดำอีกด้วย นอกจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตแล้ว ในเรื่องของอายุก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุในการเกิดฟันเหลือง เมื่ออายุมากขึ้น ฟันก็จะสึกจากการถูกใช้งานจนเกิดฟันเหลือง เช่น ถูกการกัดกร่อนจากอาหาร และถูกแปรง จนชั้นเคลือบฟันบางลงเองตามธรรมชาติ นอกจากนี้  ในผู้สูงอายุยังพบว่าโพรงประสาทและเส้นเลือดฝอยที่มาหล่อเลี้ยงฟันมักจะตีบ และมีการสร้างชั้นเนื้อฟันหนาขึ้นทำให้ฟันมีลักษณะแห้งเปราะ และฟันเหลืองเข้มขึ้นได้

และวิธีการป้องกันการเกิดฟันเหลืองนั้น อย่างแรกเลยคือ เราควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอาหารสีเข้มและอาหารที่ทำลายชั้นเคลือบฟัน หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังรับประทานอาหารสีเข้ม ควรรีบบ้วนปากหรือแปรงฟัน หากเป็นอาหารที่มีรสเปรี้ยว หรืออาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด ควรเว้นระยะหลังการรับประทานอย่างน้อย 30 นาที จึงค่อยแปรงฟัน เนื่องจากใน 30 นาทีแรก เคลือบฟันที่ถูกกรดกัดจะอ่อนแอ หากแปรงจะยิ่งทำลายชั้นเคลือบฟัน ทำให้ฟันเหลืองได้


อย่างไรก็ตาม เราควรเลิกสูบบุหรี่ ขูดหินปูน และขัดฟัน จะช่วยได้มากเลยทีเดียว นอกจากนี้ การแปรงฟันอย่างถูกต้องเหมาะสม ถือว่าเป็นการป้องกันฟันเหลืองได้ดี โดยวิธีการแปรงที่ถูกต้องคือ แปรงแบบขยับขนแปรงสั้นๆ แล้วปัดไปทางด้านปลายฟัน ใช้แปรงชนิดขนแปรงปลายมน อ่อนนุ่ม แปรงให้ถึงทุกด้านของทุกซี่ฟัน นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ฟันสะอาด คือการใช้ไหมขัดฟันขัดทุกซอกฟัน จะช่วยขจัดคราบจุลินทรีย์ที่มีสีขาวเหลือง ซึ่งเป็นสาเหตุฟันเหลืองได้ด้วย ทำให้เรามีความมั่นใจ มีรอยยิ้มที่สดใส ทั้งยังช่วยให้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรงอีกด้วย

3
บริหารจัดการอาคาร: การอบโอโซนภายในบ้าน เพื่อฆ่าเชื้อโรค

ความสะอาดและสุขอนามัยในครัวเรือน เป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องคำนึงถึง เพราะบ้านเป็นสถานที่ที่อยู่อาศัยและพักผ่อนของเรา และเป็นที่ที่เราอยู่ทุกวันจึงจำเป็นที่จะต้องมีความสะอาดอยู่เสมอ เพราะไม่อย่างนั้น จะทำให้สุขภาพของคนในบ้านไม่ดี เจ็บป่วยได้ง่าย เเต่การทำความสะอาดบ้านเเบบทั่วไป อาจไม่เพียงพอในการชำระและฆ่าเชื้อโรคที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยเฉพาะเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของคนในบ้าน

โดยเฉพาะบ้านที่มีเด็กเล็กอาจจะส่งผลเสียต่อตัวเด็กในได้อนาคต ดังนั้น เพื่อให้มั่นใจว่าบ้านจะปลอดภัยปราศจากเชื้อโรค เราก็ควรจะต้องกำจัดเจ้าตัวเชื้อโรคนี้ออกไป เราควรจะกำจัดเชื้อโรคภายในบ้านให้สะอาดและปลอดภัย ยิ่งในตอนนี้มีการระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นเชื้อที่กำลังระบาดและเป็นอันตรายมากในขณะนี้ ยิ่งคนเราออกไปทำงานนอกบ้าน เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราไม่ได้เอาเชื้อโรคจากภายนอกเข้ามาในบ้านของเรา

ซึ่งวิธีการที่จะทำให้ภายในบ้านปลอดเชื้อโรคได้นั้น ก็คือ การพ่นฆ่าเชื้อโรค หรือถ้าบ้านมีขนาดไม่ใหญ่มาก ก็ควรที่จะอบโอโซนภายในบ้านเพื่อให้ทุกคนในบ้านได้ปลอดภัยจากเชื้อโรคที่สะสมอยู่ในบ้านของเรา ดังนั้น วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องของการอบโอโซนภายในบ้าน เพื่อฆ่าเชื้อโรคที่เป็นต้นตอของการเกิดปัญหาสุขภาพ

สำหรับการอบโอโซน ถือว่าเป็นนวัตกรรมการฆ่าเชื้ออย่างหนึ่ง โดยมนุษย์สามารถผลิตก๊าซโอโซนขึ้นมาเองได้ นอกจากที่มีอยู่เองตามธรรมชาติแล้ว และก็จะนำก๊าซโอโซนที่ได้มาอบฆ่าเชื้อ โดยที่โอโซนจะเข้าไปจับโมเลกุลของสารปนเปื้อนและทำการย่อยสลายและทำลายโดยการเปลี่ยนโครงสร้างของสารนั้น ทั้งนี้ โอโซนเป็นก๊าซที่มีโครงสร้างเสถียร ซึ่งหลังจากทำปฏิกิริยา โอโซนจะแปรสภาพกลับเป็นก๊าซออกซิเจน

จึงมั่นใจได้ว่าโอโซนจะไม่เป็นอันตราย หรือส่งผลกระทบใด ๆ ต่อมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม สำหรับคุณสมบัติในการขจัดเชื้อโรคนั้น เมื่อก๊าซโอโซนไปจับกับตัวเชื้อโรคจะเกิดการแตกตัวเป็น O + O2 และออกซิเจน อะตอมนี้เองที่จะเข้าไปทำลายผนังเซลล์ ทำให้เชื้อโรคทั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรียสลายไป ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้จะเกิดขึ้น หลังจากที่ทำการปล่อยโอโซนอบไว้ในห้อง 2-3 ชั่วโมง แม้ว่าโอโซนจะเป็นรูปแบบหนึ่งของออกซิเจน และมีสภาพเป็นพิษเมื่อมีความเข้มข้นมากกว่า 50 ไมโครกรัมต่อลิตรในอากาศ

แต่เมื่อปิดเครื่องผลิตโอโซนและปล่อยห้องทิ้งไว้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง โอโซนภายในห้องจะสลายจาก O3 เป็น O2 จึงรับรองว่าไม่เป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัยแน่นอน อย่างไรก็ตาม การอบโอโซน เหมาะสำหรับพื้นที่ปิดเท่านั้น แม้จะสามารถใช้กับสถานที่ที่คนพลุกพล่านได้ เช่น ศูนย์การค้า ร้านอาหาร สำนักงาน แต่ตอนทำการอบฆ่าเชื้อ จะต้องนำคนและสิ่งมีชีวิตออกจากพื้นที่และหลังจากการอบฆ่าเชื้อแล้วเป็นระยะเวลา 2 ชั่วโมงค่อยเปิดใช้งานสถานที่ได้เป็นปกติ ถึงแม้ว่าจะทำการพ่นฆ่าเชื้อโรคแล้ว

เราก็ยังต้องดูแลรักษาความสะอาดในพื้นที่เป็นอย่างดี หากเป็นพื้นที่เปิดอาจมีการพ่นใช้ ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ (H2O2) ควบคู่เพื่อให้มั่นใจ หมั่นทำความสะอาดพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ จึงจะสามารถป้องกันเชื้อโรคต่าง ๆ  รวมทั้งเชื้อโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ข้อดีของการอบโอโวน ก็คือ ไม่มีสารตกค้าง จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายในระยะยาว ไม่จำเป็นต้องเก็บห้องเพื่อเตรียมอบโอโซน และยังสามารถทำได้บ่อยเท่าที่ต้องการ แถมมีราคาที่ไม่แพงด้วย แต่ทั้งนี้ การอบโอโซน ก็ไม่เหมาะกับพื้นที่ขนาดใหญ่

 หากใครสนใจอยากจะทำการอบโอโซนหรือพ่นฆ่าเชื้อโรคภายในอาคารบ้านเรือน ก็สามารถปรึกษาเราได้ เพราะให้บริการ ทำความสะอาดในลักษณะงานที่หลากหลาย มีผู้เชี่ยวชาญด้านทำความสะอาดในด้านต่าง ๆ และสามารถออกแบบรูปแบบงานเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการขององค์กรนั้น ๆได้อย่างมืออาชีพ

นอกจากนี้ ทางเรายังให้ความสำคัญในเรื่องของความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานในการเข้าดำเนินงาน โดยมีการเตรียมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล PPE การฝึกอบรมการทำงานภายใต้เงื่อนไข และข้อจำกัดในแต่ละองค์กรอย่างต่อเนื่อง ควบคุมการดำเนินงานให้เป็นไปตามแผน ทั้งนี้ ทางเรายังมีบริการ บริการทำความสะอาดภายใน ห้องพักผู้ป่วยและสำนักงาน ทำความสะอาดพื้นที่ส่วนกลาง งานซักรีด ตัดแต่งสวนและภูมิทัศน์ บริการกำจัดแมลง เพื่อให้ลูกค้าได้มีสิ่งแวดล้อมที่ดีและปลอดภัยจากเชื้อโรค เพื่อให้มีสุขภาพที่ดี และสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุขเมื่ออยู่ในบ้าน

4
การสร้างอาชีพการขายอาหารออนไลน์ คำแนะนำสำหรับการตลาดออนไลน์ที่ต้องการสำรวจอาชีพที่ทำกำไรได้นี้

ธุรกิจขายอาหารออนไลน์เติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเติบโตของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซและเครื่องมือทางการตลาดดิจิทัล สำหรับผู้ที่ต้องการสำรวจอาชีพที่ทำกำไรได้นี้ การขายของกินออนไลน์เป็นอาชีพที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการตลาดออนไลน์เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเข้าถึงลูกค้าและการสร้างยอดขาย

นี่คือภาพรวมของวิธีเริ่มต้นและทำการตลาดธุรกิจอาหารออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จ

เหตุใดจึงควรเริ่มธุรกิจอาหารออนไลน์?

เนื่องจากผู้คนใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้นและมองหาความสะดวกสบาย ธุรกิจอาหารออนไลน์จึงเป็นทางเลือกที่ใช้งานได้จริง ไม่ว่าจะเป็นอาหารทำเอง ของว่าง หรือการสร้างสรรค์อาหารที่ไม่เหมือนใคร ธุรกิจอาหารสามารถหาช่องทางในตลาดออนไลน์ที่กว้างใหญ่ได้ นอกจากนี้ การระบาดของ COVID-19 ยังเร่งให้การจับจ่ายซื้อของออนไลน์ได้รับความนิยมมากขึ้น และบริการจัดส่งอาหารจึงกลายเป็นตัวเลือกที่ต้องการสำหรับหลายๆ คน

ขั้นตอนในการเริ่มขายอาหารออนไลน์

ค้นคว้าเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ: ระบุรายการอาหารที่คุณต้องการขาย อาจเป็นอะไรก็ได้ตั้งแต่เบเกอรี่ อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารแปลกใหม่ หรือแม้แต่ขนมขบเคี้ยวบรรจุหีบห่อ สิ่งสำคัญคือการค้นหากลุ่มเป้าหมายที่ดึงดูดใจกลุ่มเป้าหมายของคุณ

ข้อควรพิจารณาทางกฎหมาย: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านความปลอดภัยของอาหารในท้องถิ่น ใบอนุญาต และใบรับรองด้านสุขภาพที่จำเป็นสำหรับการขายอาหารออนไลน์ เพื่อให้แน่ใจว่าธุรกิจของคุณดำเนินการอย่างถูกกฎหมายและปกป้องลูกค้าของคุณ

สร้างการปรากฏตัวออนไลน์ที่น่าดึงดูด: สร้างเว็บไซต์ที่ใช้งานง่ายหรือเข้าร่วมแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เชี่ยวชาญด้านบริการจัดส่งอาหาร ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเมนู ราคา และข้อมูลการติดต่อของคุณชัดเจน รูปภาพและคำอธิบายรายการอาหารที่มีคุณภาพสูงจะช่วยดึงดูดลูกค้า

ใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดีย: แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Instagram, Facebook และ TikTok เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจอาหาร ใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อจัดแสดงผลิตภัณฑ์ของคุณด้วยรูปภาพ วิดีโอ และเนื้อหาที่น่าสนใจ พิจารณาใช้ผู้มีอิทธิพลทางการตลาดหรือจัดโปรโมชันเพื่อดึงดูดความสนใจ

กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลสำหรับธุรกิจอาหารออนไลน์

SEO (Search Engine Optimization)
เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าเป้าหมายจะค้นหาคุณได้ ให้ใช้เทคนิค SEO เพื่อให้เว็บไซต์หรือร้านค้าออนไลน์ของคุณปรากฏในผลการค้นหา ใช้คำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอาหารและที่ตั้งของคุณ เช่น “ขนมขบเคี้ยวออร์แกนิกใน [เมือง]” หรือ “เค้กโฮมเมดที่ดีที่สุดทางออนไลน์”

การตลาดผ่านอีเมล: สร้างรายชื่อลูกค้าทางอีเมลและส่งการอัปเดตเป็นประจำเกี่ยวกับรายการเมนูใหม่ โปรโมชั่น และส่วนลด อีเมลส่วนบุคคลสามารถสร้างความรู้สึกภักดีและกระตุ้นให้ซื้อซ้ำได้

โฆษณาแบบชำระเงิน: แพลตฟอร์มเช่น Google Ads และ Facebook Ads ช่วยให้คุณกำหนดเป้าหมายกลุ่มประชากรเฉพาะตามความสนใจ ตำแหน่งที่ตั้ง และพฤติกรรม การลงโฆษณาเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการขยายการเข้าถึงและดึงดูดผู้เข้าชมมายังร้านค้าออนไลน์ของคุณมากขึ้น

การตลาดแบบเนื้อหา: สร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ เช่น บล็อก วิดีโอ หรือไอเดียสูตรอาหารที่เกี่ยวข้องกับอาหารที่คุณนำเสนอ ซึ่งไม่เพียงแต่จะสร้างความน่าเชื่อถือในกลุ่มเป้าหมายของคุณเท่านั้น แต่ยังดึงดูดลูกค้าด้วยวิธีที่มีความหมายอีกด้วย

การมีส่วนร่วมและการวิจารณ์ของลูกค้า
บทวิจารณ์ของลูกค้ามีความสำคัญอย่างยิ่งในธุรกิจอาหาร กระตุ้นให้ลูกค้าของคุณแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขาชื่นชอบอาหารของคุณ บทวิจารณ์เชิงบวกสามารถสร้างความไว้วางใจกับลูกค้ารายใหม่และเพิ่มยอดขายได้ การตอบกลับบทวิจารณ์ทั้งเชิงบวกและเชิงลบแสดงให้เห็นว่าคุณใส่ใจต่อความพึงพอใจของลูกค้า

การเริ่มต้นธุรกิจขายอาหารออนไลน์อาจเป็นทางเลือกอาชีพที่คุ้มค่า ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสม ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และการบริการลูกค้า ธุรกิจอาหารออนไลน์ของคุณก็สามารถเติบโตในตลาดดิจิทัลได้ สิ่งสำคัญคือต้องมีความสม่ำเสมอ คอยอัปเดตเทรนด์การตลาดดิจิทัล และปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

5
โทรศัพท์มือถือใหม่ 2025: หัวเหว่ย Huawei MateXT Ultimate (16GB/512G)
102,080 บาท

หัวเหว่ย Huawei MateXT Ultimate (16GB/512G)
โทรศัพท์มือถือพับได้ 3 จอ

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น            หัวเหว่ย Huawei MateXT Ultimate (16GB/512G)
   ราคากลาง         102,080 บาท
   จำนวนซิม         (Nano Sim)
   แบบดีไซน์          จอสัมผัส
   สี                     Black, Red

   ความถี่-เครือข่าย
3G
4G
5G

   ขนาด-น้ำหนัก                  ยาว 156.7 x กว้าง 73.5 x หนา 12.8 มม., น้ำหนัก 298 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)  512 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด        -
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ          ความจุแบตเตอรี่ 5,600 mAh

จอแสดงผล
   ชนิดจอ                           จอสัมผัส (LTPO OLED)
   ความละเอียด                    10.2 นิ้ว, 2,232 x 3,184 px
   รายละเอียดอื่น

กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด               กล้องหลัง (50 Mpx), กล้องหน้า (8 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                             -

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)           Octa-core (1?2.3 GHz Taishan Big & 3?2.18 GHz Taishan Mid & 4?1.55 GHz Cortex-A510)
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)  Maleoon 910
   หน่วยความจำ (RAM)             16.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก              -
   ระบบรับส่งข้อความ                  -
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต           3G, WiFi, 4G, 5G

6
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส ส่งผลกระทบต่อการรับประทานอาหารอย่างไรบ้าง

การจัดฟันแบบใส ถือเป็นนวัตกรรมรูปแบบใหม่ของวงการทันตกรรม เป็นการรักษาที่มีการวางแผนการรักษาด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้มีผลการรักษาที่มีความแม่นยำ และผู้เข้ารับการรักาสามารถเห็นการทำงานของเครื่องมือการจัดฟันได้อย่างชัดเจน ด้วยความทันสมัยในการรักษา ทำให้การจัดฟันแบบใสเป็นที่ให้ความสนใจต่อคนทั่วโลก และเป้นการจัดฟันที่มีประสิทธิภาพมาก เพราะเครื่องมือการจัดฟันที่สามารถถอดออกได้ตามความต้อการของเรา หรือตอนรับประทานอาหารและขณะทำความสะอาดช่องปากและฟัน จึงทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ

เพราะผู้ที่เข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันไม่ว่าจะจัดฟันในรูปแบบใด ส่วนใหญ่มักจะพบเจอปัญหาขณะรับประทานอาหาร นั่นก็คือ สามารถรับประทานอาหารได้ไม่สะดวก ไม่หลากหลาย เวลาที่จะต้องรับประทานก็จะต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีความอ่อน นุ่ม หรือเลือกรับประทานอาหารที่เราสามารถรับประทานได้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเครื่องมือการจัดฟัน ซึ่งหลายคนมีปัญหานี้และมักจะเป็นอุปสรรคที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพูดจา การยิ้มแย้ม การรับประทานอาหาร รวมไปถึงเรื่องของบุคลิกภาพ ที่อาจจะทำให้เกิดความไม่มั่นใจได้ ดังนั้น วันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงเรื่องของการจัดฟันแบบใส ที่หลายคนอาจจะสงสัยถึงผลกระทบต่อการรับประทานอาหารของผู้เข้ารับการจัดฟัน

ต้องอธิบายก่อนว่า การเข้ารับการจัดฟัน แน่นอนว่าหลายคนเกิดความกังวลว่าจะไม่สามารถรับประทานอาหารที่ตัวเองชอบได้อย่างเต็มที่ และถ้าหากจะต้องรับประทานอาหารในขณะะที่มีเครื่องมือการจัดฟันอยู่ภายในช่องปาก แน่นอนว่าไม่มีใครรู้สึกดี โดยเฉพาะคนที่มีพฤติกรรมชอบรับประทานอาหารหลากหลาย หรือที่เราเรียกว่า สายกิน สายเที่ยว ก็อยากมีไลพ์สไตล์ที่อิสระ ซึ่งต้องบอกว่า การจัดฟันแบบใสนั้น เป็นวิธีการรักษาที่ตอบโจทย์กลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะการจัดฟันแบบใส ทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟัน สามารถรับประทานอาหารได้อย่างหลากหลาย โดยไม่มีอุปสรรคหรือที่เราเรียกว่า เครื่องมือการจัดฟันอยู่ภายในช่องปาก เพราะเครื่องมือการจัดฟันของเราสามารถถอดออกได้ขณะรับประทานอาหาร


แต่ถ้าหากผู้เข้ารับการจัดฟัน เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ที่ดีต่อสุขภาพช่องปากและฟัน ก็ถือว่าเป้นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาช่องปากและฟันได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าผู้เข้ารับการจัดฟัน จะสามารถรับประทานอาหารได้อย่างหลากหลาย แต่เราก็ต้องถอดเครื่องมือการจัดฟันออกให้เรียบร้อย เพื่อที่จะไม่ให้เครื่องมือการจัดฟันเกิดความเสียหาย แต่ทั้งนี้ ผู้เข้ารับการจัดฟันก็ต้องสวมใส่เครื่องมือในการจัดฟันแบบใส ตามที่ทันตแพทย์แนะนำด้วย นั่นก็คือ ควรสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันแบบใสอย่างน้อยวันละ 22 ชั่วโมง เพื่อให้เครื่องมือการจัดฟัน ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพตามแผนการรักษาที่ทันตแพทย์วางไว้ เพ่อที่จะได้มีผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ

อย่างไรก็ตาม การจัดฟันแบบใส ถึงแม้ว่าจะไม่มีผลกระทบมากต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แต่เราก็ควรที่จะคำนึงถึงความสะอดาให้มากเป็นพิเศษ ควรที่จะแปรงฟันและทำความสะอาดเครื่องมือการจัดฟันให้มีความสะอาดอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้พร้อมใช้งานตลอดเวลา โดยไม่มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อบุคลิกภาพของเราด้วย ทั้งนี้ หากใครสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาด้วยการจัดฟันแบบใส รวมไปถึงการรักษาทางทันตกรรมรูปแบบอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยการฝังรากฟันเทียม

การจัดฟันในเด็ก ซึ่งทางเรามีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมาอย่างยาวนาน แต่สำหรับการจัดฟันแบบใส ทางคลินิกของเราได้รับการรับรองจาก Invisalign ให้สามารถให้บริการจัดฟันแบบใสได้อย่างมีมาตรฐานสากล ทำให้มีความน่าเชื่อถือ มีความปลอดภัยแก่ผู้เข้ารับการรักษา ทำให้ผู้เข้ารับการรักษามั่นใจได้ว่า คุณจะมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี มีฟันที่เรียงตัวกันสวยงามได้อย่างแน่นอน

7
รถยนต์ใหม่ 2025: นีโอมอร์ Neomor-D01 Food Truck-ปี 2024
345,000 บาท

นีโอมอร์ Neomor-D01 Food Truck-ปี 2024
Neomor D01 Food Truck รถบรรทุกไฟฟ้าอเนกประสงค์ขนาดเล็ก ใช้งานขนส่งในเมือง ได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงการใช้งานภาคโลจิสติกส์ในประเทศไทย โดยมีจุดเด่นที่การออกแบบให้มีวงเลี้ยวแคบกว่ารถขนส่งทั่วไป รองรับดารชาร์จด้วยแรงดันไฟฟ้า 3.3 kW เวลาในการชาร์จน้อยกว่า 5 ชม. (ภาพแทน)

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์              Neomor
   รุ่น                   นีโอมอร์ Neomor-D01 Food Truck-ปี 2024
   ประเภทรถ          รถกระบะ 2 ประตู (ตอนเดียว)
   ปีที่เปิดตัว          2024
   ราคา                345,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
ล้อกระทะ (12 นิ้ว)
ไฟหน้า (ปรับระดับได้)
ไฟหน้าฮาโลเจน
ขนาดยางหน้า-หลัง (195/70R12)

   ภายใน
เบาะคนขับปรับสูง-ต่ำได้ (,เข้า-ออกได้)
ม่านบังแดด
พวงมาลัยไฟฟ้า

สเปค
   มอเตอร์ไฟฟ้า            มอเตอร์ Permanent magnet Synchronization ให้กำลัง 13//20 kW แรงบิดสูงสุด 25/85 นิวตันเมตร
   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)  แรงม้า
   ระบบเกียร์
   รูปแบบเกียร์
   ระบบเบรค ABS      มี
   ชนิดแบตเตอรี่        ไฟฟ้า
   ความจุแบตเตอรี่     9.98 kWh
   ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง

   น้ำหนักตัวรถ          615 กก.
   ประเภทยางรถยนต์    -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)
   ระบบขับเคลื่อน       ขับเคลื่อนล้อหลัง

ระบบความปลอดภัย
  อุปกรณ์ความปลอดภัย
ระบบกระจายแรงเบรก EBD
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (ระบบแจ้งเตือนความเร็วต่ำ,กล่องเก็บเครื่องมือ,ไฟฉุกเฉิน,เสื้อเซฟตี้สะท้อนแสง)
เข็มขัดนิรภัย

8
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


9
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


10
หมอประจำบ้าน: สิ่งแปลกปลอมเข้าตา (Foreign bodies in the eye)

สิ่งแปลกปลอมเข้าตา เป็นสิ่งที่พบได้บ่อย ส่วนใหญ่ไม่มีความรุนแรงและเอาออกได้ไม่ยาก แต่ส่วนน้อยอาจมีความรุนแรงและอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้

สาเหตุ

เกิดจากสิ่งแปลกปลอม เช่น ฝุ่น ผงดิน ทราย เศษเหล็ก สะเก็ดหิน ปูนซีเมนต์ เศษไม้เล็ก ๆ แมลง เป็นต้น เข้าไปในตา


อาการ

มีอาการเคืองตา ปวดตา น้ำตาไหล ตาแดง และอาจติดเชื้ออักเสบเป็นหนองได้

ภาวะแทรกซ้อน

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้กลายเป็นแผลกระจกตา หรือเชื้อโรคอาจลุกลามเข้าไปในลูกตา ทำให้ลูกตาอักเสบทั่วไป (panophthalmitis) ตาเสียได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยจะพบอาการตาแดง น้ำตาไหล ตรวจพบสิ่งแปลกปลอมที่ติดอยู่ที่เยื่อตาขาว กระจกตา (ตาดำ) หรือเปลือกตาด้านใน

บางรายแพทย์อาจทำการตรวจด้วยการใช้แว่นขยายส่องดูให้เห็นชัดเจน หรือใช้ยาหยอดตาที่เข้าสารเรืองแสง (fluorescein dye) ช่วยตรวจหาสิ่งแปลกปลอมและรอยแผลที่เกิดขึ้นที่เยื่อตาขาวหรือกระจกตา


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้ามีเศษผงเล็ก ๆ ไม่ฝังอยู่ในเนื้อตา อย่าขยี้ตา ให้ลืมตาในน้ำสะอาด หรือล้างตาด้วยน้ำสุก (ที่เย็นแล้ว) หรือน้ำยาล้างตา (บอริก 3%)

ถ้าผงติดอยู่ในเปลือกตาบน ให้ปลิ้นเปลือกตาแล้วใช้สำลี ผ้าก็อซ หรือผ้าเช็ดหน้าบิดปลายให้แหลมเขี่ยผงออก

ถ้าตาแดงอักเสบให้ป้ายหรือหยอดยาที่เข้ายาปฏิชีวนะ

2. ถ้ามีเศษผงฝังในกระจกตาหรือเยื่อตาขาว แพทย์จะใช้เครื่องมือเขี่ยเอาผงออก แล้วป้ายยาปฏิชีวนะและปิดตาไว้ อาการเคืองตา ตาอักเสบ มักจะดีขึ้นภายใน 2-3 วัน


การดูแลตนเอง

1. ถ้ามั่นใจว่าเกิดจากเศษผง (ละอองฝุ่น ดิน) เข้าตา ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    ห้ามขยี้ตา ถ้าใส่เลนส์สัมผัส ควรถอดออก
    รีบลืมตาในน้ำสะอาด และกลอกตาไปมา หรือเทน้ำสะอาดให้ไหลผ่านตาที่ถ่างหนังตาไว้
    ถ้าไม่ได้ผล หากมองเห็นเศษผงให้คนช่วย โดยใช้ผ้าเช็ดหน้าที่สะอาดบิดปลายให้แหลมเขี่ยผงออก


ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังนี้

    สงสัยเป็นเศษเหล็ก (จากการเจียเหล็ก) เศษหิน (จากการเจียหิน) หรือเศษผงขนาดใหญ่เข้าตา
    สงสัยสิ่งแปลกปลอมฝังในกระจกตา (ตาดำ) หรือเยื่อตาขาว
    หลังการดูแลตนเองแล้วรู้สึกว่าเศษยังไม่ออก หรือมีอาการปวดตา เคืองตา ตาแดง น้ำตาไหล มีขี้ตา หรือตาพร่ามัว
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตัวเอง

2. ในกรณีที่ไปพบแพทย์ หากภายหลังรับการรักษาจากแพทย์ได้ 1-2 วัน แล้วอาการปวดตา เคืองตา ตาแดง น้ำตาไหล ไม่ทุเลา ควรกลับไปพบแพทย์เพื่อตรวจให้แน่ใจว่ามีความผิดปกติอะไรหรือไม่


การป้องกัน

    หลีกเลี่ยงอยู่ในที่ที่มีลมหรือฝุ่นมาก ถ้าเลี่ยงไม่ได้ควรใส่แว่นตาป้องกัน
    ใส่อุปกรณ์ป้องกันดวงตา เวลาทำงานเจียเหล็ก หรือเจียหิน


11
ปล่อยรถราคาพิเศษ Mercedes-Benz E 350e Avantgarde ปี 2020

Mercedes-Benz E 350e Avantgarde ปี 2020 เป็นรถยนต์ซีดานหรูแบบ Plug-in Hybrid (PHEV) ในตระกูล E-Class (W213) ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริหารและผู้ที่มองหารถยนต์พรีเมียมที่ประหยัดน้ำมันและสามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าได้

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 13 มิ.ย. - 30 มิ.ย. 2568
รถออกดีลเลอร์ Mercedes-Benz Thailand
รถมี Warranty ถึง 14-11-2022

ราคาพิเศษ 1,299,000 บาท

สนใจสอบถา มรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

มิติตัวถัง
ความยาว: 4,923 มิลลิเมตร
ความกว้าง: 1,852 มิลลิเมตร
ความสูง: 1,468 มิลลิเมตร
ระยะฐานล้อ: 2,939 มิลลิเมตร
ความจุถังน้ำมัน: 60 ลิตร
พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้าย: 370 ลิตร (เนื่องจากต้องเก็บแบตเตอรี่)

ขุมพลังและสมรรถนะ (Plug-in Hybrid)
Mercedes-Benz E 350e Avantgarde ปี 2020 มาพร้อมระบบขับเคลื่อน Plug-in Hybrid ที่ผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์เบนซินและมอเตอร์ไฟฟ้า:

เครื่องยนต์: เบนซิน 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว เทอร์โบชาร์จ พร้อม Intercooler ขนาด 2.0 ลิตร (1,991 ซีซี)
กำลังสูงสุด (เครื่องยนต์): 211 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด (เครื่องยนต์): 350 นิวตันเมตร ที่ 1,200 – 4,000 รอบ/นาที

มอเตอร์ไฟฟ้า:
กำลังสูงสุด (มอเตอร์ไฟฟ้า): 88 แรงม้า (PS)
แรงบิดสูงสุด (มอเตอร์ไฟฟ้า): 440 นิวตันเมตร
กำลังรวมสูงสุดทั้งระบบ: 286 แรงม้า (PS)
แรงบิดรวมสูงสุดทั้งระบบ: 550 นิวตันเมตร
ระบบส่งกำลัง: เกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ (9G-TRONIC PLUS)
แบตเตอรี่: Lithium-ion
ความจุแบตเตอรี่: 13.5 kWh
ระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้าล้วน: ประมาณ 33 กิโลเมตร (ตามข้อมูล NEDC)
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย: ประมาณ 40 – 47 กม./ลิตร (ตามข้อมูล ECO Sticker)
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.: 6.3 วินาที
ความเร็วสูงสุด: 250 กม./ชม.



12
มอเตอร์โชว์: เลือกแล้ว รถไฟฟ้าแบบ SUV ระหว่าง Deepal SO5, Geely EX5 และ MG S5 EV คันไหนเด็ด คันไหนคุ้ม ในงบไม่เกิน 1 ล้านบาท

หากมีงบประมาณ 900,000 บาท และกำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้าแบบ SUV ที่น่าสนใจในปีนี้แล้วล่ะก็ กูรูช้าง-สินธนุ จำปีศรี จะพาไปรู้จักกับ 3 รุ่นเด่น ได้แก่ Deepal SO5, Geely EX5 และ MG S5 EV พร้อมเจาะลึกจุดเด่น จุดด้อย และสรุปว่าแต่ละรุ่นเหมาะกับใครที่สุด ไปดูกันเลยครับ
 
Deepal SO5

ราคา
Deepal SO5 Lite ราคา 799,000 บาท
Deepal SO5 Plus ราคา 849,000 บาท
Deepal SO5 Max ราคา 899,000 บาท

จุดเด่น
ขนาดใหญ่สุดในกลุ่ม SUV ไม่เกิน 1 ล้าน
ฟีเจอร์แน่น: เบาะไฟฟ้า Zero Gravity พร้อมรองน่อง, คอนโซลกลางมีระบบทำความเย็น
ขับเคลื่อนล้อหลัง มอเตอร์แรงบิด 320 นิวตันเมตร
ระบบรีโมตเลื่อนรถหน้า-ถอยหลังในที่แคบ
จอ HUD (Head-Up Display), ลำโพง 14 ตำแหน่ง, Wireless Charging 50W

ข้อสังเกต
แบตเตอรี่ขนาดเล็กกว่าเพื่อน (ประมาณ 47 kWh) วิ่งจริงราว 380–400 กม.
ยังไม่รองรับ Apple CarPlay/Android Auto (ใช้ Carbon Link แทน)
ช่วงล่างนุ่มสบาย แต่ไม่เน้นความหนึบแน่น
เหมาะกับ: คนรุ่นใหม่ที่เน้นฟีเจอร์เยอะ ราคาคุ้มค่า ไม่เน้นความพรีเมียม

Geely EX5
ราคา
Geely EX5 Pro ราคา 799,000 บาท
Geely EX5 Max ราคา 929,000 บาท

จุดเด่น
ดีไซน์เรียบหรู ดูพรีเมียม ฟังก์ชันครบ
เบาะนวดทั้งสองฝั่ง พร้อมรองน่อง เบาะไฟฟ้า
ช่วงล่างกระชับกว่าคู่แข่ง ขับมั่นใจกว่า
ลำโพงแบรนด์ Flyme Sound, จอ HUD ชัดเจน
ฟังก์ชันควบคุมแอร์แยก ใช้งานง่าย ไม่ต้องกดจอ

ข้อสังเกต
มอเตอร์กำลังน้อยกว่าคู่แข่ง (218 แรงม้า)
รองรับชาร์จเร็ว DC ได้เพียง 100 kW (น้อยกว่า S05 ที่ 152 kW)
ล้อดีไซน์ธรรมดา ทำให้ความรู้สึกพรีเมียมลดลง

เหมาะกับ
คนที่ชอบความพรีเมียม เรียบหรู ใช้งานง่าย และไม่เน้นสมรรถนะจัดจ้าน

MG S5 EV
ราคา
MG S5 EV D ราคา 719,900 บาท
MG S5 EV X ราคา 779,900 บาท
MG S5 EV V ราคา 899,900 บาท

จุดเด่น
สมรรถนะสูงสุดในกลุ่ม: 245 แรงม้า แรงบิด 350 Nm ขับเคลื่อนล้อหลัง
แบตเตอรี่ใหญ่สุด (64 kWh) วิ่งได้จริงประมาณ 450 กม.
ช่วงล่างแน่น หนึบ ขับมั่นใจ เข้าโค้งดี
รองรับ Apple CarPlay / Android Auto
รับประกันแบตเตอรี่, มอเตอร์ และระบบขับเคลื่อนยาวถึง 8 ปี หรือ 180,000 กม.

ข้อสังเกต
ลำโพงน้อยที่สุดในกลุ่ม (6 จุด)
หน้าจอกลางเล็กกว่าคู่แข่ง (10 นิ้ว)
ฟังก์ชันไม่หวือหวาเมื่อเทียบกับ 2 รุ่นแรก

เหมาะกับ
ผู้ที่ต้องการขับสนุก สมรรถนะสูง วิ่งไกล และแบรนด์ที่มั่นใจในบริการหลังการขาย

สรุปเปรียบเทียบ
รุ่น                       ฟีเจอร์เด่น   วิ่งไกล (จริง)   ช่วงล่าง   ฟีเจอร์ภายใน                      ราคาโดยประมาณ
Deepal SO5   ฟีเจอร์เยอะสุด   ~400 กม.             นุ่ม            เบาะไฟฟ้า, HUD, ลำโพง 14 จุด   799,000-899,000
Geely EX5           พรีเมียมที่สุด           ~400 กม.         กระชับ มั่นใจ    เบาะนวดคู่หน้า, HUD                   799,000-929,000
MG S5 EV           สมรรถนะสูงสุด    ~450 กม.         หนึบ แน่น         รองรับ CarPlay, ชาร์จไว           719,000-899,000

สรุป
หากคุณเน้น เทคโนโลยีจัดเต็มและความคุ้มค่า: เลือก DEPORT S05
หากคุณเน้น ความหรูหรา ความเรียบง่ายใช้งานง่าย: เลือก Geely EX5
หากคุณเน้น สมรรถนะ แบตใหญ่ วิ่งไกล ขับมั่นใจ: เลือก MG S5 EV รุ่น V

13
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส จะช่วยให้มีฟันสวยไปตลอดชีวิตหรือไม่
 
การจัดฟันแบบใส เป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน  เนื่องจากเป็นการรักษาที่เป็นการแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่าจะมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง แต่หากเปรียบเทียบกับผลลัพธ์ที่และกับการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะการแก้ไขปัญหาฟัน ด้วยการจัดฟันแบบใสนั้น เป็นการจัดฟันที่ไม่ส่งผลหรือกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ด้วยการนำเอานวัตกรรมรูปแบบใหม่เข้ามาช่วยในการรักษา ตั้งแต่วิธีการประเมินช่องปาก วางแผนการรักษาด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้ผลการรักษามีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ผู้เข้ารับการรักษาสามารถเห็นผลการรักษา เห็นการทำงานของเครื่องมือการจัดฟัน


การเคลื่อนตัวฟันได้ล่วงหน้า และยังสามารถออกแบบรอยยิ้มได้ด้วยตัวเอง เรียกว่า เข้าร่วมวางแผนการจัดฟันกับทันตแพทย์ได้ตามต้องการ ถือว่าเป็นนวัตกรรมทางการจัดฟันแบบใหม่นิยมทำกันมาก ทำให้สามารถจัดฟันได้โดยไม่ต้องใส่เหล็กจัดฟัน สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ตามปกติ ง่ายต่อการดูแลรักษา เพราะสามารถถอดออกและแปรงฟันได้ตามปกติ เป็นการช่วยส่งเสริมในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันด้วย

ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้การจัดฟันด้วยวิธีนี้เป็นที่นิยมของคนที่ต้องการจัดฟัน แต่ไม่อยากให้ใครเห็น ถือว่าตอบโจทย์ของคนในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจหรือมีความสนใจที่จะเข้ารับการจัดฟันแบบใส ก็มีคำถามว่า ถ้าหากเราลงทุนเข้ารับการจัดฟันแบบใสแล้ว จะทำให้ฟันของเราสวมไปตลอดชีวิตเลยหรือไม่ สำรับวันนี้ทางคลินิกของเราก็มีคำตอบมาฝากเพื่อเป้นแนวทางในการตัดสินใจก่อนเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันแบบใส
 
แน่นอนว่า ใครที่คิดตัดสินใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส ก็ต้องคาดหวังว่าอยากจะมีฟันที่สวยงามเป็นธรรมชาติ เพื่อเสริมสร้างบุคลิกภาพ รอยยิ้มของเราให้ดูดีอยู่เสมอ และการจัดฟันแบบใส ถือว่าตอบโจทย์มาก เพราะจะทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีฟันที่สวยงาม เพราะเครื่องมือจัดฟันชนิดนี้จะโปร่งใส ทำให้คนอื่นมองแทบไม่ออกว่ากำลังเข้ารับการจัดฟันอยู่ ทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุดเวลายิ้มหรือพูดคุย นอกจากนี้ ยังช่วยลดระยะเวลาในการจัดฟัน การจัดฟันแบบใสสามารถช่วยลดระยะเวลาในการจัดฟันได้อย่างรวดเร็ว ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของสภาพฟันแต่ละบุคคล

สามารถถอดและสวมใส่ได้อย่างง่ายดายสามารถถอดเครื่องมือได้เมื่อต้องการรับประทานอาหาร แปรงฟัน หรือขัดฟัน จึงช่วยลดปัญหาการเกิดหินปูน ฟันผุ กลิ่นปาก แผลในช่องปาก และโรคในช่องปากอื่น ๆ ได้ แต่สำหรับคนถามที่ว่า การจัดฟันแบบใส จะช่วยให้มีฟันสวยไปตลอดชีวิตหรือไม่ ต้องบอกเลยว่า การจัดฟันแบบใส เป็นการรักษาฟันในระยะยาว ทำให้มีฟันที่สวยงามได้อย่างถาวร

แต่ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการปฏิบัติตัวใในระหว่างการจัดฟันด้วย โดยจะมีปัจจัยในเรื่องของการสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องสวมใส่เครื่องมือตามที่ทันตแพทย์กำหนด ส่วนใหญ่สวมใส่เครื่องมือวันละ 22 ชั่วโมง เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่แม่นยำ


นอกจากนี้ ภายหลังจากการจัดฟัน ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องสวมใส่รีเทนเนอร์เพื่อคงสภาพฟัน ตามระยะเวลาที่ทันตแพทย์กำหนด เพราะไม่อย่างนั้น จะทำให้ฟันเคลื่อนได้ ทำให้อาจจะต้องเข้ารับการจัดฟันซ้ำอีกรอบ ซึ่งจะทำให้เสียเวลา แต่ถ้าผู้เข้ารับการจัดฟันสวมใส่รีเทนเนอร์ก็จะช่วยทำให้มีฟันที่เรียงตัวกันอย่างถาวรเลย เพราะฉะนั้น ในเรื่องของการปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์จึงมีความสำคัญ มีผลต่อผลการรักษานั่นเอง

อย่างไรก็ตาม การจัดฟันแบบใส ยังมีผลการรักษาที่แม่นยำ นี่ถือว่าเป็นข้อดีและสาเหตุที่ทำให้การเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟันแบบใส จึงได้รับความนิยมทั่วโลก เพราะสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง สำหรับใครที่สนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟัน และยังได้รับการรับรองจากทาง Invisalign จึงมั่นใจได้ว่า คลินิกของเราจะทำให้เรามีฟันที่เรียงตัวกันอย่างสวยงามเป็นธรรมชาติได้อย่างแน่นอน ทั้งยังช่วยเสริมสร้างในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันได้อย่างดีอีกด้วย เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่จะได้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่มากยิ่งขึ้น และยังช่วยทำให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อย่างแน่นอนf

14
Doctor At Home: มะเร็งต่อมลูกหมาก (Prostate cancer)

มะเร็งต่อมลูกหมาก พบมากเป็นอันดับที่ 5 ของมะเร็งในผู้ชาย มักพบในผู้ชายอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป และพบมากขึ้นตามอายุ ส่วนในคนอายุต่ำกว่า 40 ปี อาจพบได้แต่น้อย

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนเพศชาย-แอนโดรเจน (androgen) ได้แก่ เทสโทสเทอโรน

พบว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งชนิดนี้ ดังนี้

    ความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ พบว่าถ้ามีพ่อหรือพี่น้องเป็นโรคนี้หรือมะเร็งชนิดอื่น (เช่น มะเร็งเต้านม มดลูก รังไข่ กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ตับ ถุงน้ำดี ไต กระเพาะปัสสาวะ เป็นต้น) มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากมากกว่าปกติ
    ภาวะอ้วน พบว่าผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากที่มีภาวะอ้วนมีโอกาสเป็นมะเร็งขั้นที่รุนแรงและยากที่จะให้การรักษา

อาการ

มะเร็งชนิดนี้มักมีการลุกลามช้า ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักไม่มีอาการแสดง จนกว่าก้อนโตมากจนเกิดภาวะอุดกั้นท่อปัสสาวะ ก็จะมีอาการผิดปกติของการถ่ายปัสสาวะแบบเดียวกับต่อมลูกหมากโต รวมทั้งอาจมีอาการถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด

ในรายที่มะเร็งแพร่กระจายไปแล้ว ผู้ป่วยอาจมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ปวดหลัง ซี่โครงหรือเชิงกราน (ถ้ามะเร็งแพร่ไปกระดูกหลัง ซี่โครงหรือเชิงกราน) เท้าบวม (ถ้าแพร่ไปที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณต้นขา)


ภาวะแทรกซ้อน

เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้น ทำให้ทางเดินปัสสาวะอุดกั้น (ปวดท้องน้อย ถ่ายปัสสาวะลำบากหรือถ่ายไม่ออก) โลหิตจางจากการเสียเลือด

เมื่อมะเร็งลุกลามไปที่อวัยวะข้างเคียง เช่น กระเพาะปัสสาวะ ไส้ตรง เนื้อเยื่อในช่องท้อง (ทำให้ปวดท้อง ถ่ายปัสสาวะอุจจาระลำบาก ถ่ายปัสสาวะอุจจาระเป็นเลือด ท้องมาน) และในระยะท้ายมักแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปที่ปอด (เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก), กระดูก (ปวดกระดูก กระดูกพรุน กระดูกหัก ปวดหลัง ไขสันหลังถูกกดทับ)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นโดยการใช้นิ้วตรวจทางทวารหนัก (digital rectal exam) และตรวจระดับพีเอสเอ (prostate specific antigen/PSA) ในเลือด (ปกติมีค่าไม่เกิน 4 นาโนกรัมต่อเลือด 1 มล.)

หากสงสัย เช่น ตรวจพบต่อมลูกหมากเป็นก้อนแข็งหรือขรุขระ หรือมีค่าพีเอสเอสูงกว่าปกติ ก็จะทำการตรวจเพิ่มเติม โดยทำการตรวจอัลตราซาวนด์ต่อมลูกหมากผ่านทางทวารหนัก (transrectal ultrasound/TRUS) และตัดชิ้นเนื้อนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ (prostate biopsy)

หากพบว่าเป็นมะเร็งก็จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีต่าง ๆ (เช่น เอกซเรย์, อัลตราซาวนด์, เอกซเรย์คอมพิวเตอร์, การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า-MRI, การตรวจเพทสแกน-PET scan เป็นต้น) เพื่อประเมินว่าเป็นมะเร็งระยะใด


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะเลือกวิธีรักษาตามความรุนแรง ระยะของโรค และอายุของผู้ป่วย เช่น

    ผู้ป่วยที่มะเร็งยังจำกัดอยู่เฉพาะที่ต่อมลูกหมาก และมีอายุต่ำกว่า 65 ปี หรือคาดว่าสามารถอยู่ได้นานเกิน 10 ปี มักจะทำการผ่าตัดต่อมลูกหมาก
    ผู้ป่วยที่มะเร็งยังจำกัดอยู่เฉพาะที่ต่อมลูกหมาก แต่มีอายุมากหรือสุขภาพทรุดโทรม หรือปฏิเสธการผ่าตัด หรือผู้ป่วยที่มะเร็งเริ่มแพร่กระจายออกไปบริเวณรอบ ๆ ต่อมลูกหมาก มักให้รังสีบำบัด (ด้วยการฝังแร่หรือฉายรังสี)
    ผู้ป่วยที่มะเร็งแพร่กระจายไปทั่วแล้วหรือค่าพีเอสเอเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ หรือผู้ป่วยอายุน้อยที่เป็นมะเร็งชนิดร้ายแรง มักจะให้ฮอร์โมนบำบัด เพื่อควบคุมเทสโทสเทอโรนให้ลดลง ทำให้ก้อนมะเร็งฝ่อเล็กลง โดยการให้ยาต้านแอนโดรเจนชนิดเม็ด (anti-androgen เช่น flutamide, bicalutamide เป็นต้น) ฉีดยากระตุ้น luteinizing hormone-releasing hormone (LHRH agonists เช่น leuprorelin, goserelin) หรือโดยการผ่าตัดอัณฑะ (ที่สร้างเทสโทสเทอโรน) ออกไปทั้ง 2 ข้าง และอาจให้เคมีบำบัด และ/หรือรังสีบำบัดร่วมด้วย
    ผู้ป่วยที่มะเร็งมีขนาดเล็ก เจริญช้า จำกัดอยู่เฉพาะที่ต่อมลูกหมาก หรือไม่มีอาการแสดง (พบจากการตรวจคัดกรอง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีอายุมากสุขภาพทรุดโทรม หรือคาดว่าอยู่นานไม่ถึง 10 ปี มักจะไม่ให้การรักษาใด ๆ แต่จะเฝ้าติดตามดูการเปลี่ยนแปลงโดยการตรวจระดับพีเอสเอ และการใช้นิ้วตรวจทางทวารหนักเป็นระยะ ๆ ถ้าจำเป็นอาจทำการตรวจชิ้นเนื้อ ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีชีวิตที่เป็นปกติสุขอยู่ได้เป็นเวลานาน เนื่องจากมะเร็งมีการลุกลามช้า ไม่คุ้มกับความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา เช่น กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เป็นต้น

หลังการรักษาไม่ว่าด้วยวิธีใด แพทย์จะติดตามตรวจระดับพีเอสเอเป็นระยะ ถ้าอยู่ในเกณฑ์ปกติ แสดงว่าโรคสงบหรือทุเลา แต่ถ้ามีค่าสูงขึ้นก็แสดงว่าโรคอาจกำเริบขึ้นอีก

โดยทั่วไปผลการรักษาค่อนข้างดี และสามารถรักษาให้มีชีวิตอยู่ยาวนาน (มีอัตราการรอดชีวิตเกิน 5 ปีเกือบร้อยละ 100) เนื่องจากมะเร็งต่อมลูกหมากส่วนใหญ่เป็นมะเร็งที่มีการเจริญหรือลุกลามช้า


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะเป็นเลือด ปวดหลังเรื้อรัง น้ำหนักลด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ถึงแม้มะเร็งชนิดนี้ป้องกันได้ยาก แต่การปฏิบัติตัวต่อไปนี้อาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรค และชะลอการลุกลามของโรค

    ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
    ลดอาหารมัน
    กินผัก ผลไม้ และเมล็ดธัญพืชให้มาก ๆ
    ออกกำลังกายเป็นประจำ

ข้อแนะนำ

1. ในปัจจุบันยังไม่แนะนำให้ทำการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากในคนทั่วไปที่ไม่มีอาการโดยการตรวจพีเอสเอในเลือด เพราะยังไม่มีหลักฐานสนับสนุนว่ามีประโยชน์ เนื่องจากผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากที่ไม่มีอาการแสดงมักเป็นมะเร็งชนิดเจริญช้า ไม่แพร่กระจายออกนอกต่อมลูกหมาก และสามารถมีชีวิตที่เป็นปกติเป็นเวลายาวนาน นอกจากนี้ การตรวจคัดกรองโรคด้วยการตรวจพีเอสเอในเลือด* ยังขาดความแม่นยำ มีโอกาสพบผลบวกลวงค่อนข้างมาก ซึ่งอาจนำไปสู่การตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่ไม่จำเป็น และเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ

2. ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีประวัติโรคนี้ในครอบครัว ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาถึงผลดีผลเสียของการตรวจคัดกรองมะเร็งชนิดนี้

3. ปัจจุบันมีวิธีบำบัดรักษาโรคมะเร็งใหม่ ๆ ที่อาจช่วยให้โรคหายขาดหรือทุเลา หรือช่วยให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ผู้ป่วยจึงควรติดต่อรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง มีความมานะอดทนต่อผลข้างเคียงของการรักษาที่อาจมีได้ อย่าเปลี่ยนแพทย์ เปลี่ยนโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น หากสนใจจะแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

*พีเอสเอ (Prostate specific antigen/PSA) เป็นสารที่สร้างโดยเนื้อเยื่อต่อมลูกหมาก ระดับพีเอสเอในเลือดมีค่าปกติต่ำกว่า 4 นาโนกรัม/มล. ถ้ามีค่าสูงกว่าปกติ แสดงว่าอาจมีพยาธิสภาพของต่อมลูกหมาก เช่น ต่อมลูกหมากโต ต่อมลูกหมากอักเสบ มะเร็งต่อมลูกหมาก ต่อมลูกหมากได้รับบาดเจ็บหรือผ่าตัด เป็นต้น
ถ้ามีค่าระหว่าง 4-10 นาโนกรัม/มล. อาจเป็นมะเร็งหรือไม่ใช่มะเร็งก็ได้
ถ้ามากกว่า 10 นาโนกรัม/มล. มีโอกาสเป็นมะเร็งสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นสาเหตุที่ไม่ใช่มะเร็งมักจะมีค่าต่ำกว่า 20 นาโนกรัม/มล.
ถ้ามีค่ามากกว่า 100 นาโนกรัม/มล. มักจะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากชนิดแพร่กระจาย
ถ้ามีค่าพีเอสเอเพิ่มขึ้นปีละ 0.8 นาโนกรัม/มล. หรือมากกว่า อาจบ่งชี้ว่ากำลังมีมะเร็งเกิดขึ้น
ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมากบางรายก็อาจมีค่าพีเอสเออยู่ในระดับปกติก็ได้

15
ท่อปรับอากาศ ทำไมจึงขาดฉนวนกันความร้อนไม่ได้

ระบบท่อปรับอากาศในโรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล โรงแรม ห้างสรรพสินค้า หรืออาคารพาณิชย์ต่าง ๆ ฯลฯ ถือเป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญที่ต้องการการดูแลใส่ใจเป็นพิเศษ เพราะเป็นระบบที่กินพลังงานสูง เนื่องจากต้องเปิดใช้งานตลอดเวลา และยังมีส่วนสำคัญต่อการกำหนดคุณภาพอากาศภายในพื้นที่อีกด้วย

ซึ่งหนึ่งในแนวทางการดูแลท่อปรับอากาศให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ก็คือ การติดตั้ง ฉนวนกันความร้อน โดยข้อดีของการติดฉนวนกันความร้อน ที่ระบบปรับอากาศนั้น มีดังต่อไปนี้

1.ช่วยประหยัดพลังงานได้มากขึ้น

ในขณะที่ระบบปรับอากาศทำงานอยู่นั้น การสูญเสียความร้อนผ่านทางผนังท่อปรับอากาศเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ซึ่งยิ่งระบบปรับอากาศทำงานหนักเท่าไร ก็จะมีความร้อนเกิดขึ้นมากเท่านั้น และทำให้ระบบปรับอากาศทำงานหนักขึ้น กินไฟมากขึ้น การติดตั้งฉนวนกันความร้อนจะช่วยลดการสูญเสียพลังงานได้เป็นอย่างดี เพราะช่วยทำให้ความร้อนสะสมจากการทำงานของระบบปรับอากาศลดลง


2.ช่วยทำให้อากาศในพื้นที่เย็นอย่างมีประสิทธิภาพ

สืบเนื่องจากการทำงานหนักอย่างต่อเนื่องของระบบปรับอากาศที่ต้องเปิดตลอดเวลา ทำให้ความร้อนสะสมกระจายเข้าสู่พื้นที่ อากาศที่ควรจะเย็นก็ไม่เย็นดังที่ใจต้องการ กลายเป็นร้อน หรือต้องปรับความแรงให้มากขึ้น ซึ่งก็ยิ่งกลายเป็นทำให้ระบบปรับอากาศทำงานมากขึ้นอีก การติดตั้งฉนวนกันความร้อน จึงช่วยทำให้ระบบปรับอากาศทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างอากาศเย็นได้อย่างเหมาะสม


3.ช่วยทำให้อากาศในพื้นที่มีความบริสุทธิ์ได้มากยิ่งขึ้น

การติดฉนวนกันความร้อนที่ท่อปรับอากาศ จะช่วยลดการควบแน่นเป็นหยดน้ำจากความแตกต่างของอุณหภูมิอาคารที่ปรับอากาศได้ ซึ่งป้องกันไม่ให้เกิดเชื้อราเติบโตแพร่กระจายในท่อปรับอากาศ ทำให้อากาศที่ได้ออกมานั้นมีความบริสุทธิ์ ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสุขภาพผู้คนในพื้นที่ได้มากขึ้น



4.ช่วยลดเสียงรบกวนจากการทำงานของระบบปรับอากาศในพื้นที่

ถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาใกล้ตัวมากกับการถูกเสียงแอร์รบกวน ยิ่งเป็นอาคาร สำนักงาน โรงงานใหญ่ ๆ ที่ใช่ระบบท่อปรับอากาศด้วยแล้ว หากไม่ได้ให้ความสำคัญจุดนี้ ก็จะเกิดปัญหาเสียงแอร์ดังได้

ซึ่งการติดฉนวนกันความร้อนที่ท่อระบบปรับอากาศจะช่วยทำให้ปัญหานี้ลดลงได้ เพราะท่อปรับอากาศจะหนามากขึ้น และด้วยคุณสมบัติของฉนวนที่ช่วยในการกันเสียง จึงคืนความสงบให้กับพื้นที่ได้เป็นอย่างดี

ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักโฟกัสกับระบบปรับอากาศเพียงแค่เรื่องของความเย็นเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว เบื้องหลังการทำงานของระบบท่อปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพ ต้องอาศัย ฉนวนกันความร้อนท่อปรับอากาศ เป็นตัวช่วย

ซึ่งปัจจุบัน ฉนวนกันความร้อน ถือว่าตอบโจทย์และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ด้วยเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และยังมีบริการให้คำแนะนำ พร้อมวางแผนติดตั้งแบบครบวงจร จึงทำให้มีความสะดวกรวดเร็ว และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของระบบปรับอากาศได้จริง ประหยัดพลังงานได้มากขึ้นอย่างเห็นผลลัพธ์ชัดเจน

หน้า: [1] 2 3 ... 49